Tuesday 19 August 2014

Tales of Cocktails มาร์ตินี่ที่เพลย์บอยคลับ

 

 หนุ่มๆหลายคนคงเคยนึกฝันเหมือนผมว่าเกิดมาชาตินี้เราต้องไปนั่งดื่มกับสาวๆชุดกระต่ายที่Playboy Clubให้ได้ซักครั้ง! และหลังจากอยู่ลอนดอนมาหลายปีในที่สุดฝันนี้ของผมก็กลายเป็นจริง เนื่องในโอกาสที่เพื่อนคนสนิทของผมได้รับเชิญไปเป็นดีเจให้งานวันเกิดของนักร้องหนุ่มแนวหน้าวงการอินดี้อังกฤษอย่างJames Blake ซึ่งดันไปจัดในคลับที่นั่นพอดี งานนี้ผมเลยขอติดตามเข้าไปดูให้เป็นบุญตาซักครั้งว่าข้างในคลับสุดเอ็กซ์คลูซีฟนี้ มันเจ๋งเหมือนกิติศัพท์ที่เราเคยได้ยินมาหรือไม่ อย่างไร

The Playboy Cubสาขาแรกนั้นก่อตั้งขึ้นเมื่อปี1960 หลังจากHuge Hefnerตีพิมพ์นิตยสารPlayboy Magazineเล่มแรกเป็นเวลาเจ็ดปี โดยสาขาแรกเปิดตัวที่Chicagoในอเมริกา และได้รับความนิยมอย่างสูงจนได้มาเปิดที่ลอนดอนในปี 1966 เป็นคลับสาขาแรกที่มีบ่อนคาสิโนอยู่ด้านในด้วย แต่ด้วยพิษเศรษฐกิจและปัญหาภายในทำให้คลับแต่ละสาขาทยอยปิดตัวลงในช่วงปลายยุค80s จนเวลาผ่านไปกว่า30ปี Playboy Club London จึงเปิดประตูรับแขกอีกครั้งในแมนชั่นใหม่เอี่ยมออกแบบโดยสถาปนิคลอนดอน Jestico + Whiles ตั้งอยู่เลขที่ 14 ถนนOld park lane ไม่ไกลจากพิกัดของคลับเดิมมากนัก ซึ่งถ้าพูดกันตรงๆทั้งการตกแต่งและตัวอาคารของPlayboy Clubอันใหม่นี้ก็ไม่ได้หรูหราอะไรมาก (อาจเป็นเพราะตั้งอยู่ใกล้ๆโรงแรม Hilton, Hard Rock Cafe และ Four Seasons ทำให้โดนรัศมีความอลังการของโรงแรมใหญ่กลบไปเสียหมด) แต่ทีเด็ดนั้นอยู่ที่สาวๆบันนี่เกิร์ลที่ทั้งสวยเซ็กซี่และเป็นกันเองอย่างเหลือเชื่อ ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไปในคลับ สาวผมทองในชุดกระต่ายแน่นเปรี๊ยะก็รี่เข้ามาต้อนรับผมพร้อมช่วยเอาโค้ทไปแขวนให้ "เพิ่งมาครั้งแรกหรอคะ?"
ผมพยักหน้าและยิ้มให้เธอแบบอายๆ เธอหัวเราะคิกคักแล้วบอกว่า "don't worry, you will have a great night!" พูดจบปุ๊บเธอก็ฝากให้เพื่อนสาวบันน่ีเกิร์ลอีกคนพาพวกเราไปด้านในของส่วนคลับชื่อว่า Baroque “คลับของเราแบ่งเป็นหลายส่วนคะ มีทั้งคาสิโน่ ร้านอาหารโดยเชฟJudy Joo, เลานจ์สำหรับสมาชิก คอคเทลบาร์และส่วนคลับBaroque เป็นที่จัดงานแลี้ยงและการแสดงดนตรีสดด้วย” พอเธออธิบายจบ สาวบันนี่อีกคนก็ออกมารับพวกเราเข้าไปด้านใน ผมเดาว่าเธอน่าจะเป็นระดับหัวหน้าบันนี่ดูจากบุคลิคที่คมเข้มสง่างามและเครื่องแบบที่เป็นบราเซียฟังเพชรแวววาวกว่าสาวๆคนอื่นๆ “Welcome darling!” เธอจูบทักทายผมที่แก้มสองข้างเหมือนคนคุ้นเคย ทำเอาผมหน้าแดงระเรื่อตั้งแต่หัวค่ำ

เราเต้นบนฟลอร์ซักพักจนถึงเวลาเที่ยงคืน ไฟสปอต์ไลต์สว่างจ้าก็ฉายมาที่บันนี่เกิร์ลสามคน ซึ่งช่วยกันเข็นแก้วทรงสูงกว่าสามสิบใบที่ถูกวางซ้อนกันเป็นทรงปิรามิตออกมาหน้าตรงหน้าโต๊ะของเรา  ไม่ทันไรขวดแชมเปญราคาแพงก็ถูกเปิดดัง "โป๊ะ!ๆๆ" สองสามขวดพร้อมๆกัน ส่งสัญญาณเริ่มประเพณีการเท champagne fountain ให้กับเจ้าของวันเกิด (ประมาณว่าที่นี่เขาไม่เสริฟเค้ก แต่เสริฟเครื่องดื่มราคาแพงอย่างแชมเปจให้เป็นของขวัญแทน) ในจุดนั้น คงไม่มีคำอื่นนอกจากคำว่า "ฟิน" ที่จะพรรณาอรรถรสในการได้เห็น แชมเปญสีทองถูกรินออกจากขวดในมือของเหล่าสาวๆบันนี่เกิร์ล ไหลล้นเอ่อผ่านแก้วทีละใบๆลงเป็นน้ำตกสีทองต่อหน้าต่อตา มันเป็นความฟุ้งเฟ้ออย่างเหลือเชื่อจนผมต้องแอบหยิกตัวเองให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันอยู่! เสียดายที่ตัวนักร้องหนุ่มเจ้าภาพนั้นแทบจะไม่ได้สนใจอะไรเท่าไรนัก ดูจะมุ่งมั่นกับการเกี้ยวสาวเงียบๆอยู่ในมุมของโซฟาส่วนตัวของเขาเสียมากกว่า  แต่ตัวผมเองดันได้นั่งอยู่กลางโต๊ะพอดีแถมหน้าตาตื่นเต้นตีไม้ตีมืออยู่คนเดียว พร้อมคว้าโทรศัพท์มาถ่ายวิดีโอสุดฤทธิ์ ทำเอาแขกคนอื่นๆเข้าใจผิดหันมาแฮปปี้เบิร์ดเดย์ผมซะงั้น

นอกจากได้จิบแชมเปญแล้ว มาถึงPlayboy clubทั้งที จะไม่ลองค็อกเทลด้วยก็กะไรอยู่ เพราะเขามี Savatore Bar ที่ก่อตั้งโดยเจ้าพ่อค็อกเทลชื่อดังของลอนดอนอย่าง Salvatore Calabrese ผู้คิดค้นเครื่องดื่มคลาสสิคหลายแก้ว อย่าง Spicy Fifty, Melon Fizz และ Breakfast Martini เป็นต้น โดยเฉพาะเจ้าBreakfast Martiniนี่ที่มาน่าสนใจ ว่ากันว่ามันถูกคิดค้นขึ้นไม่นานมานี้ในช่วงปี90s ตอนที่เขาทำงานอยู่ที่ Library bar ในโรงแรมหรู The Lanesborough hotel ใกล้ๆกับ Hyde Park corner ตัวSavadoreเองปรกติแล้วจะดื่มแค่กาแฟespressoเป็นอาหารเช้าเท่านั้น แต่วันดีคืนดีภรรยาของเขากลับทำขนมปังปิ้งทาแยมส้ม(marmalade)มาบังคับให้Savadoreกินเป็นอาหารเช้าแทน ทำให้วันนั้นเขาหยิบขวดแยมส้มติดมือไปที่บาร์ด้วย และในที่สุดก็นำแยมส้มหนึ่งช้อนโต๊ะ ไปผสมกับ Gin 50มิลลิลิตร, เหล้า Triple Sec และน้ำส้มคั้นสด อย่างละ12 มิลลิลิตร ออกมาเป็นBreakfast Martiniรสเปรี้ยวหวานอย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน

แต่ค็อกเทลที่ดังที่สุดของลอนดอนก็คงหนีไม่พ้น Vesper Martini ที่ถึงแม้จะมีน้อยคนรู้จัก Gilberto Preti บาร์เทนเดอร์ตัวจริงผู้คิดค้นสูตรของมันในลอนดอนช่วงปี1950s แต่หลายๆคนกลับจำเครื่องดื่มนี้ได้จากนิยายJames Bondเล่มแรก The Casino Royale นั่นเอง เพราะIan Flemingผู้เขียนนั้นประทับใจค็อกเทลสูตรนี้อย่างมากจนเอาไปใส่ในเนื้อเรื่อง ให้ครั้งหนึ่ง นักสืบ007สุดหล่อได้เข้าไปในบาร์และโชว์เหนือสั่งบาร์เทนเดอร์ให้ผสมค็อกเทลตามใจตน  “เอาGordon’sจินสามส่วน, วอดก้าหนึ่งช็อต, Kina Lillet ครึ่งช็อต, เขย่ากับน้ำแข็งให้ดีจนเย็นเฉียบแล้วเสริฟกับเปลือกเลมอนบางๆ, เข้าใจไหม?” พอบาร์เทนเดอร์เสริฟมาให้ บอนด์ก็พอใจมากและสุดท้ายตั้งชื่อให้ค็อกเทลนี้ตามนักสืบสาว Vesper Lynnที่เขาตกหลุมรักในเรื่องนั่นเอง ซึ่งเมื่อนิยายนี้ถูกตีพิมพ์ สูตรค็อกเทลดังกล่าวถูกวิภาษณ์วิจารณ์อย่างมากด้วยเหตุผลสามข้อคือ 1.ปกติแล้วคนชงจะไม่ผสมจินและวอดก้าเข้าด้วยกัน 2.ถ้าค็อกเทลมีจิน คนชงมักไม่เขย่าเพราะจะทำให้รสชาติของจินเสีย และ3. Kina Lillet(เดี๋ยวนี้เปลี่ยนชื่อเป็นLillet Blanc)เป็นส่วนผสมที่แปลกเพราะคนส่วนมากจะเลือกใช้ Dry vermouth แทน

 ส่วนตัวผมเองถึงจะไม่เคยอ่านนิยาย เจมส์ บอนด์ แต่พอได้จิบค็อกเทลรสเข้ม แถมถูกล้อมรอบไปด้วยสาวสวยในชุดกระต่าย ก็รู้สึกเท่ห์เหมือนักสืบสายลับในหนังสือ007ได้ไม่ยากเลย

สรุปว่าคืนนั้นก็จัดเต็มไปหลายแก้วจนเช้า โชคดีทีสามารถลงบิลในชื่อคุณเพื่อนไว้ได้ทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินซักบาท ไม่งั้นมีหวังกระเป๋าฉีกแบบไม่ต้องสืบแน่ๆ