ในขณะที่กลุ่มผู้เดินขบวนเริ่มรวมตัวกันอย่างหนาแน่นที่Tralfalgar square ผมกลับถือโอกาสหลบเข้า ย่านBloomsbury แทน เพราะนอกจากวันนี้(20 ตุลา 2012)จะเป็นวันที่ สหภาพแรงงานนัดกันออกมารวมพลเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาการตัดงบที่ไม่สมควรแล้ว...ในปีนี้มันยังเป็นวันรณรงค์การวาดรูปแห่งชาติ หรือ BIG DRAW DAYที่British museumอีกด้วย !
ตลอดเดือนตุลาคมของทุกๆปี จะสังเกตุเห็นว่าหลากหลายสถาบันทั่วสหราชอณาจักร ต่างลุกขึ้นมาจัดกิจกรรมให้กับลูกเด็กเล็กแดงไปจนถึงพ่อแม่พี่ป้าน้าอา มาร่วมกัน"วาดรูป"...นี่เป็นเพราะมูลนิธิ Campaign for drawing ได้จัดแต่งตั้งเดือนนี้ให้เป็นเดือนเฉลิมฉลองการวาดเขียน โดยมีศิลปินแห่งชาติอย่างQuentin Blakeเป็นตัวตั้งตัวตี เชิญชวนชาวอังกฤษมาจับดินสอปากกากันอย่างสนุกสนาน เพราะเขาเชื่อว่า การวาดรูปนั้นนอกจากจะให้ความบันเทิงแล้วยังถือเป็นเครื่องมือสำคัญของพัฒนาการทางสังคม เป็นพื้นฐานของการศึกษาหลายแขนง และเป็นประโยชน์แก่การดำเนินชีวิตของมนุษยชาติอย่างไม่มีขอบเขต (ว่าไปนั่น) ส่วนทางBritish Museumเองก็ตอบรับแนวคิดนี้และเป็นผู้จัดงานขาประจำทุกๆปีไม่มีเว้น จนครั้งมาถึงปัจจุบันนับเป็นBIG DRAW DAYครั้งที่13แล้วแหละ
ในปีนี้เนื่องจากทางพิพิธภัณฑ์กำลังจัดแสดงนิทรรศการ "Shakespere staging the world" กิจกรรมbig drawจึงมาในธีมที่เกี่ยวกับshakespere ซึ่งก็มีหลากหลายworkshopให้เราได้เลือกกันอย่างเมามันส์ อาธิเช่น Drawing Shakespeare's Lines: ใช้บทประพันธ์ของShakespeareมาเชื่อมต่อเรื่องราวของโบราณวัตถุจากทั่วโลก, Drawing Shakespeare's London :วาดรูปเมืองลอนดอนในสมัยของShakespeare ด้วยcollectionจากศตวรรษที่17, ไปจนถึงสร้างภาพจากเส้นระดับสายตาแบบอียิตป์ โดยอาศัยแรงบันดาลใจจากศิลปะในพิพิธภัณธ์และบทละครเรื่องAntony and Cleopatra , และอื่นๆอีกมากมายจนเลือกไม่ถูก! สุดท้ายผมก็ไปลงเอยที่workshop Drawing techniques from Shakespeare's time เพราะดูน่าจะเอามาประยุกต์ใช้กับสายอาชีพได้มากสุด...
ประชากรส่วนมากในworkshopไม่ใช่เด็กวัยกระเตาะ แต่กลับเป็นสาวๆรุ่นใหญ่ บ้างเป็นศิลปินเต็มตัว บ้างก็วาดรูปเป็นงานอดิเรก รวมไปถึงครูผู้สอน ชื่อ Philippa Abrahamsที่แม้จะทำตัวเรียบง่ายแบบบ้านๆ แต่เธอเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด้านการบูรณะศิลปะโบราณที่มีความรู้โชคโชนมากๆ เธอเริ่มเปิดหัวข้อการปฏิบัติการด้วยการบรรยายสั้นๆ จับใจความได้ว่า "การวาดรูปเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งอย่าง โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่17, นักเดินทางทั้งหลายต่างต้องบันทึกสิ่งที่พวกเขาได้เห็นได้เจอในต่างแดนด้วย การวาดรูป และจากรูปวาดเหล่านั้นศิลปินและ นักประพันธ์อย่างShakespeareจึงสามารถสร้างศิลปะและละครซึ่งบอกเล่าถึงดินแดนใหม่ๆ เป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กับผู้คนในสังคมต่อไป"
Philippaบอก ว่าอุปกรณ์วาดเขียนที่พกพาได้ถือเป็นสิ่งสำคัญมากๆ พวกเขายังไม่มีดินสอ(กว่าจะมีดินสอแบบทุกวันนี้ก็ช่วงปลายศตวรรษที่18โน้น) สิ่งที่นิยมเอามาใช้วาดเขียนในยุคนั้นจึงเป็นแผ่นบอร์ดเคลือบเจสโซ(Gesso) ซึ่งเป็นวัสดุผสมมีเชื้อกาว,กระดูกบดและสี สามารถใช้ของที่มีหัวเป็นเงิน(silver point)วาดแล้วลบออกได้ด้วยน้ำลาย ,หนังสัตว์อบแห้ง(Vellum and Parchment)ที่จะให้ดีต้องเป็นหนังลูกวัวโดนแท้ง,แท่งถ่านอมน้ำมัน, ปากกาขนนกQuill(ส่วนมากเป็นห่าน)ที่ต้องเอาเข้าเตาอบแล้วเอามาเหลาเพื่อให้แกนของมันแข็งพอซึมซัมหมึก ...แต่ละอย่างแค่ฟังผมก็เหนื่อยแล้ว แต่ Philipa ยังใจดีให้ผู้เข้าร่วมworkshopได้ลงมือใช้techniqueเหล่านี้กันด้วยตัวต่อตัว! ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือทุกคนมุ่งไปทำปากกาขนนกของตัวเองกันหมด แต่ปรากฏว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด กว่าจะเหลาปลายปากกากันได้ก็ยอมแพ้กันไปหลายคน
อีกเทคนิคที่น่าสนใจก็คือ Cartooning หรือการลอกแบบเวลาทำรูปเหมือนของบุคคลสำคัญต่างๆ อาธิเช่นพระราชินีอลิซาเบธที่หนึ่งก็จะมีรูป"พิมพ์นิยม"ที่ทรงสั่งให้ศิลปินหลวงวาดขึ้นมา แล้วทำการเจาะรูตรงลายเส้น เพื่อที่เวลาประชาชนคนอื่นๆต้องการจะตีพิมพ์รูปเหมือนของท่านนั้น สามารถนำเอาตัวแบบหรือcartoonนี้ไปฝนผงถ่าน แล้วก็ต่อจุดวาดตาม เพื่อให้รูปที่ออกมาในทุกๆสื่อมีลักษณะที่เหมือนๆกัน นอกจากราชวงศ์แล้ว นักการเมือง หรือคนชั้นสูง รวมไปถึงศิลปินที่มีชื่อเสียงอย่างShakespeareเอง ก็มีภาพแบบcartoonเหมือนกัน สงสัยว่าราชวงศ์ไทยในสัมยนั้นจะมีภาพต้นแบบอยางนี้รึเปล่านะ?
(เทคนิคนี้ถูกนำมาใช้เวลาออกแบบลวยลายปักผ้าที่วิจิตร ละเอียดยิบในสมัยนั้นเช่นกันจ้า)
ในช่วงท้ายของงาน ผมได้มีโอกาสคุยกับPhilipaเป็นการส่วนตัว เพราะสนใจเรื่องการวาดหมึกลงหนังสัตว์เป็นพิเศษ ผมเล่าให้เธอฟังถึงเรื่องหนังตะลุงของบ้านเรา ซึ่งเราทั้งสองคนเห็นพ้องต้องกันว่าคนสมัยโบราณที่คิดเทคนิคเหล่านี้ช่างอัจฉริยะมากๆ และน่าสนใจที่"ศิลปะ"กับ"ความเชื่อ" มักจะผสมกลมกลืนกัน อย่างในกระบวนการทำหนังตะลุงที่เชื่อว่า หนังที่จะนำมาทำตัวนาง จะต้องเป็นวัวเพศเมียบริสุทธิ์ หรือตัวฤาษีจะต้องเป็นหนังควายแก่เท่านั้น ฯลฯ คุยไปคุยมาถูกคอ เธอก็ยื่นแผ่นParchmentของเธอมาให้ลองวาด โดยใช้หมึกsepia ซึ่งจะลอยอยู่ด้านบนของหนังอย่างสวยงาม "มันเป็นเทคนิคที่พิเศษมาก" Philipaบอก พร้อมกำชับว่าอย่าไปโชว์ให้คนอื่นๆดู "หนังมันแพงมากๆนะ ฮาๆ" ทำเอาผมอมยิ้มไปจนจบworkshopเลยทีเดียว
ตอนขากลับผมเดินผ่านThe Great Hallหรือห้องโถงใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ของBritish Museum แอบเห็นกลุ่มคนจำนวนมาก มามุงล้อมดูอะไรกัน จนตอนแรกนึกว่าเหล่าผู้ประท้วงได้เดินทางมาถึงเสียแล้ว! แต่ที่จริงเป็็นผู้คนที่อยากมาร่วมกิจกรรมวาดรูปเช็คเสปียร์กันต่างหาก โดยมีคุณลุงนักแสดงแต่งตัวเป็นเช็คเสปียร์มานั่งเป็นแบบให้ตรงกลาง ล้อมรอบไปด้วยรูปวาดขนาดใหญ่และผู้เยี่ยมชมมากมายที่ทั้งสนุกกับกิจกรรมและได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ความสำคัญของบุคคลและเหตุการณ์ในอังกฤษจากสมัยก่อน มาเชื่อมโยงให้เข้ากับความเป็นไปของเราในปัจจุบัน เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนๆ คนในครอบครัว ไปจนถึงสร้างมิตรภาพใหม่ๆในสถานที่แห่งนี้..
ขณะที่มองเห็นรอยยิ้มของผู้คนรอบข้าง ในใจก็นึกไปว่าอยากให้พวกรัฐบาลที่ตัดงบศิลปะและการศึกษามาร่วมworkshopนี้ด้วยจัง
Friday, 26 October 2012
Saturday, 20 October 2012
Lost Property
The first time I lost my passport was at a dirty pub called Macbeth.
"Manflu" was playing. A punk band fronted by Aza Shade, a fellow csm student, beautiful girl from Kazakhstan with purple hair and a racous voice to blow your socks off. A younger funkier version Karen O, if you will.
While their guitar and drums burst out the heavy tunes, I couldn't stop my body from dancing and jumping all over the tiny, crowed dance floor. That moment was euphoric. But what was soon to follow was more like a great panic when, as I was leaving the place as drunk as a monkey, I realised my passport was missing from my jacket pocket. Yes, you may wonder "Why would anyone in his right mind carry around his passport to a gig?" Well, firstly I was young and foolish. Secondly, I got told off before by bouncers for not having proper ID. From that night though, I have learnt that not getting in to a club is a lot better than to risk losing a passport.
So there I was, at Hoxton police station the next day, telling the Police Officer "I must have dropped it somewhere.." He didn't really respond, just shook his head and gave me the police report with his scribbles on it.
It
wasn't until the second time though, that I really recognised that buzzing
feeling before losing my precious something.
I guess it
sounds silly but
my mind just knew it was going to happen. Precisely at 18:05, I got
on the no.23 bus with heavy grocery bags, in them were all the asian
goodies ready to be cooked for my dinner party that night. I was
excited, exhausted and buzzing at the same time. I then started to feel
anxious, knowing that I've gone over my body limit and my consciousness
wasn't really quite there. I even tapped my pockets to check if I had
everything...and although it was there at that moment, a few minutes
later as I got off the bus i realised my wallet continued it's
journey with the no.23. Desperately running after that bus, with 5kg of
rice along with the ingredients for a perfect green curry for four, my
mind kept retracing the possible moment my wallet left me. Amazing how
it only takes a split second to lose something I hold so dear. Then there it
was, that emptiness in my stomach; not from
hunger, but from realising how flaky life really is. Later I managed to
hop on the next no.23, explaining how I dropped my wallet on the bus
infront, and the driver was kind enough to let me tag along to their
last
stop; the bus garage in clapham. Finally, at 10pm, I caught up with the
no.23 in the garage, but this time it was empty. No people. No
wallet. The driver offered me a cigarette. He suggested calling the TFL
Lost and Found office the next day. I instead called my banks and
cancelled all my cards. 2 weeks later the TFL was the one contacting me.
I went to pick up my wallet at their Lost and Found office at baker
street. Although it was a lot thinner with all my cash missing; all the
cards were there and my good old wallet was again back in my life.
Since
then I have become very wary of that buzzy feeling. Every now and then
when I start to feel like I've done too much, going over my physical
and mental limit, I would tell myself to stop, cancel those meetings,
call in sick and let the world go by without me for a day or two. Meanwhile
I would hold on to my belongings very closely and double check that
everything is where it is supposed to be. People say I'm crazy, but
those who are close to me would understand. One has to listen to one's instinct - no explanation needed.
So on
that Thursday night, at the buzzing opening party inside a small gallery
in soho, I was particularly nervous. After a long day at school, I knew I was pushing my limit and, sure enough, the
familiar feeling was there again. It sent warning signs all over my
body but somehow I chose to ignore it. I put my coat in the cloakroom, thinking to myself "there's no
turning back now".
My instinct was proven right.
Someone in the crowd approached me, asking what I was drinking.
We started to talk and before I knew it, my most precious belonging was lost.
Saturday, 6 October 2012
#Fashion:Jumpsuit affair
JUMPSUIT AFFAIR:
(painting by Katie Comodore)
Anyone who knows me would know that I LOVE JUMPSUITS.
For me it's the perfect combination of style and comfort....also it's that 80s appeal, shoulderpad, taliored cut, smartwear that I would find in my mum waldrobe when I was a child.
Mind you she was(and still is) quite a fashionista in those day. Although we're not rich but she always dress to impress! I guess it's the entertainment business we're in...but ayway, it's obvious that passion for fashion can be passed on in the family!
(Photo by Linda Cooper)
From Exhibition openings to dancing on the floors, these outfits are statement piece..and also allow you to move quite freely! On a sunny day(not we have that many in England...), it can be quite relaxing look too....well, kind of.
Jumpsuits/Onesies/Bodysuits (what ever u fancy to call them) of mine are usually from the Vintage shop, like Rockit, Beyond Retro, or The Blitz in Brick lane...but thanks to Jessie J, now the one piece look has been back on the mainstream fashion scene again..so while it's more difficult to find the second hand one with reasonable price (as they're gone so quick), you get some funky designers coming up with nice new jumpsuits as well! Like this one from Religion. AMAZING.
(photo by Jesus Madrinan)
One down point is that, like any other statement piece, people DO remember you wearing them...so I have to quite careful not to wear the same jumpsuit to the same crowd too often....also it's quite 'in you face' so some crowd wont really know how to react to it...
I wore a couple of these in Bangkok on a few party occassions. Although attention on the dancefloor was fun, but being stared all the way to the party and going home by basically every human being in the city wasnt very fun to be honest.
oh well, GOOD OLD LONDON!
Subscribe to:
Posts (Atom)