เป็นเหมือนกันไหม?
ที่เวลาไปนิทรรศการแล้วต้องแวะดูร้านขายของที่ระลึก?
ประมาณว่าหากทุนทรัพย์จะไม่พอจับจองศิลปะชิ้นนั้นๆ ก็ขอซื้อโปสการ์ด สูจิบัตร พวงกุญแจ
กระจุกระจิกอะไรก็ได้ไว้เป็นของต่างหน้าแก้ขัดไปละกัน
แถมบางครั้งของที่ระลึกนั้นมีความสร้างสรรค์(และใช้ได้จริง)มากกว่างานที่ถูกจัดแสดงเสียอีก!
ยกตัวอย่างที่
British Library ซึ่งนอกจากจะเป็นบ้านหลังที่สองของผมช่วงทำวิทยานิพนธ์แล้ว
shopของเขายังเต็มไปด้วยของเก๋ๆจากคอลเล็กชั่นหนังสืออันใหญ่โตมโหฬารติดอันดับต้นๆของโลก ทั้งภาพพิมพ์จากชุดนวนิยายอมตะ,
หนังสือหายาก, แผนที่สมัยก่อน ไปจนถึงของชิ้นเล็กอย่าง ปากกาหัวแร้ง หรือ
ชุดคั่งตราประทับพร้อมขี้ผึ้งสีแดงเลือดหมู แต่สินค้าล่าสุดที่ประทับใจผมมากคือ ชุดเทียนหอมและน้ำยาปรับอากาศ
รุ่น Ex Libris (ภาษาละตินแปลว่า
“จาก หนังสือ”)
โดยกลิ่นของเทียนหอมเหล่านี้ถูกดีไซน์ขึ้นจากลักษณะวรรณกรรมของนักเขียนโปรดของคุณ!
เล่นเอาหนอนหนังสืออย่างผมพิศวงสนเท่ห์ได้ชะงัก
ยิ่งกลิ่นแรกที่หยิบขึ้นมาดมนั้นได้รับแรงบันดาลใจจาก Oscar Wilde นักเขียนในดวงใจ
พร้อมqouteคำพูดติดข้างกล่องจากเจ้าตัวว่า “ผู้ใดที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างถ่อมตัว
จำต้องทุกข์ทนกับจินตนาการที่ขาดแคลน” (Anyone who lives within their means
suffers from lack of imagination”)
บ่งบอกถึงความหรูหราฟุ้มเฟือยอันเป็นเอกลักษณ์งานเขียนของเขาได้อย่างสะใจ
จริงๆแล้ว
Oscar Wilde
มีผลงานไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับนักเขียนคนอื่นๆในยุคเดียวกัน
งานเขียนของเขาส่วนมากจะเป็นบทความประชดสังคม, นิทานเรื่องสั้น และ
งานประพันธ์บทละคร แต่Wildeไม่ได้โด่งดังจากงานเขียนเท่านั้น
เพราะเขาคือstyle guruคนแรกของโลกตะวันตก ด้วยรสนิยมอันดีเลิศ ประกอบกับตัวตนอันอื้อฉาว
และอุมการณ์ที่ชัดเจน(Wildeมีส่วนร่วมในการสนับสนุนและเผยแพร่ Aesthetic movement)
ทำให้เขาเป็นหนึ่งบุคคลสาธารณะที่โด่งดังที่สุดในศตวรรษที่19 นอกจากนี้ ในวันที่20
มิถุนายน ค.ศ. 1890 นิยายเรื่องแรกและเรื่องเดียวของเขาถูกตีพิมพ์ในนิตยสาร
Lippincott’s และได้สร้างความแตกตื่นให้แก่ผู้อ่านทั่วประเทศ
จนเหล่านักวิจารณ์ต่างออกมาด่าดอความฉาบฉวยและเนื้อหาที่เต็มไปด้วยการบิดเบือนจรรยาบรรณอันดีงามของผู้ดีอังกฤษ
นิยายเรื่องที่ว่านั่นก็คือ The Picture of Dorian Gray นั่นเอง
หนึ่งร้อยปีจากวันนั้น
ผมได้มีโอกาสอ่านนิยายเรื่องที่ว่า ณ กรุงลอนดอน
ที่ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดและฉากหลังของหนังสือทั้งเล่ม
และถึงแม้ว่าลักษณะของสถานที่จะแตกต่างไปจากคำบรรยายในหนังสือ (อาธิเช่น Covent
garden ที่ในยุคสมัยนั้นถือว่าเป็นแหล่งมั่วสุมสกปรก
แต่ปัจจุบัญกลายเป็นที่ตั้งของโรงอุปรากรณ์หลวงและเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ
เป็นต้น) แต่ลักษณะของ “อารมณ์” และ “ผู้คน” นั้นยังเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน
โดยเนื้อเรื่องนั้นเล่าถึง
เด็กหนุ่มที่ย้ายเข้ามาในเมืองใหญ่เพื่อเรียนรู้โลกกว้าง
ถูกรุมเร้าด้วยแสงสีและกิเลสตัณหา และสิ่งเติมแต่งอันสวยงามฉูดฉาด ล้อมรอบไปด้วยสังคมชั้นสูงที่รักการติฉินนินทา
ใส่หน้ากากเข้าหากัน ในเรื่องเขาได้รับของขวัญจากเพื่อนจิตรกรเป็นภาพเหมือนของตน
หากแต่ภาพพิศวงนั้นได้เก็บวิญญาณของเขาไว้ ทำให้ชายหนุ่มมีรูปโฉมที่สวยงามอมตะ
ส่วนในภาพนั้นรูปเขากลับบิดเบี้ยวสยดสยองมากขึ้นเรื่อยๆตามการกระทำอำมหิตของเขา…
ในจุดนี้
ถึงหน้าตาผมจะไม่ได้งดงามเหมือน Dorian Gray แต่แก่นสารนิยายของเขานั้นโดนใจ
เหมือนว่ากำลังอ่านบันทึกของตัวเองในฉากของศตวรรษที่19!
อาจเป็นเพราะถึงแม้สิ่งนอกกายเราจะเปลี่ยนไป
แต่ธรรมชาติของคนก็ยังคงเป็นไปด้วยความโลภ โกรธ หลง ต้องการที่จะเป็นที่รักใคร่ของคนรอบข้าง
และไม่ว่าจะในยุคสมัยใด
แสงสีของลอนดอนก็ยังสามารถดึงเอาความดิบนั้นออกมาได้อยู่เสมอ
ปัจจุบันนี้
ทุกๆครั้งที่ผมมองกระจกก่อนออกจากบ้าน ผมมองภาพสะท้อนของตัวเอง ประหนึ่งภาพวาดของ
Dorian Gray
พลางพยายามเตือนตัวเองเสมอ ให้ไม่ทำความผิดพลาดซ้ำรอยกับพระเอกในเรื่อง
ที่ตอนจบต้องประสบโศกนาฏกรรมจากความผิดบาปของตัวเอง…
(ใครอยากรู้ว่าความผิดอะไรต้องลองหามาอ่านดู)
แน่นอนว่าในร้านขายของที่ระลึกนั้นมีเทียนหอมหลายกลิ่น
บางคนอาจจะชอบกลิ่นหวานของมะลิและกุหลาบในเทียนของ Jane Austin, บางคนอาจถูกใจกลิ่นอุ่นๆของต้นสนและก้านพลูจากเทียน
Charles Dickens,
แต่สำหรับผมก็คงต้องเสียเงินกับกลิ่นของไม้หอม
และเครื่องเทศ อันลี้ลับ,หรูหรา และ มีเสน่ห์ แบบOscar Wilde เป็นปริยาย
ลองคิดว่าถ้ามีเทียนหอมที่ได้แรงบันดาลใจจาก
สุนทร ภู่ หรือ ปราบดา หยุ่น กลิ่นของมันจะเป็นอย่างไรนะ?
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของBritish
Library ได้ที่ http://www.bl.uk/
No comments:
Post a Comment