Wednesday 28 May 2014

Mind the Gap สถานี ที่รัก

 
“Mind The Gap, please” ประโยคสั้นๆ แต่แปลเป็นไทยโดยMRTบ้านเราได้ยาวเฟื้อยว่า  “ท่านผู้โดยสารโปรดระมัดระวังขณะก้าวออกจากรถ” ถือเป็นประโยคที่เราได้ยินกันบ่อยๆจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันคนกรุงเทพฯ แต่มีใครเคยคิดไหมว่า เสียงเตือนธรรมดาๆนี้อาจมีความหมายเป็นพิเศษสำหรับใครบางคน?

ที่ลอนดอนมีเรื่องเกิดขึ้นเป็นข่าวใหญ่ไม่นานมานี้ เมื่อหญิงหม้ายวัย65 ยื่นเรื่องขอร้องทางคมนาคมของลอนดอน (Transport of London)ให้เก็บเสียงพูด “Mind The Gap, please” แบบดั้งเดิมณ สถานี Embankment ไว้ หลังจากที่รถไฟใต้ตินทำการพัฒนาเปลี่ยนระบบเครื่องเสียงใหม่ในปีที่แล้ว โดยให้เหตุผลว่า เจ้าของเสียงตามสายนั้นคืออดีตสามีของเธอที่ล่วงลับไปนั่นเอง “ถ้าเป็นไปได้ ดิฉันพยายามจะเลือกเส้นทางที่ผ่านสถานีนี้เสมอ เพราะทุกๆครั้งที่ได้ยินเสียงเขา มันทำให้ดิฉันมีความสุข…เสียงประกาศนี้อยู่คู่กับสถานีนี้มา40ปี แต่ในเดือนพฤจิกายนที่ผ่านมา ดิฉันกลับต้องรู้สึกใจหายเมื่อทางสถานียุติการใช้เสียงของเขา จนคิดว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่าง” คุณ Margaret McCollum อดีตภรรยาของ Oswald Laurence นักแสดงเจ้าของเสียงประกาศในสถานี ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์หลายฉบับ รวมไปถึงสำนักงานข่าวระดับประเทศอย่าง BBC จนสุดท้ายหนังสือคำร้องของเธอได้ไปถึงนายสถานีและทางผู้บริหารการคมนาคมได้ออกมาแถลงข่าวใหญ่โตว่า พวกเขาก็เห็นใจเธออย่างมาก และจะจัดหาช่างซ่อมเครื่องเสียงมากู้เทปเสียงของ Oswald Laurence ให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ที่สถานีอีกครั้ง!

ในชั่วข้ามคืนเรื่องรักน้อยนิดนี้กลับเรียกกระแสความนิยมให้กับการรถไฟของลอนดอนได้อย่างท่วมท้น แต่หากสังเกตุดีๆ กลยุทธเรียกคะแนนเสียงโดย “การใส่ใจกับรายละเอียด” ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะส่วนประกอบยิบย่อยของระบบขนส่งที่นี่ล้วนถูกดีไซน์มาแล้วอย่างดี เริ่มตั้งแต่แผนที่ Tube map  มีเวอร์ชั่นมาตรฐานอันแรกออกแบบโดยนายสถานี Harry Beck โดยมีคอนเซปท์ง่ายๆว่า ผู้คนที่ใช้รถใต้ดินมักจะไม่รู้สึกถึงระยะทางระหว่างสถานีอยู่แล้ว แผนที่รถไฟจึงไม่จำเป็นต้องแสดงระยะการเดินทางตามความเป็นจริง(distance) แค่ตัดทอนให้เห็นเฉพาะเส้นทาง(direction)ก็พอ ซึ่งแนวคิดนี้ก็กลายเป็นต้นแบบของแผนที่รถไฟฟ้าทั่วโลก และ การรถไฟลอนดอนยังบุกเบิกแนวคิดการใช้ศิลปะในสถานีขนส่งมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่20 โดยเฉพาะในปี1908 ทางการรถไฟริเริ่มว่าการจ้างศิลปินให้วาดภาพท่องทุ้ง, แหล่งช็อปปิ้ง ไปจนถึงโฆษณากิจกรรมสำคัญๆของเมือง รวมอยู่ในแผ่นโปสเตอร์ของการรถไฟ เพื่อรณรงค์ให้ผู้คนใช้รถไฟและเป็นสันทนาการแก่ให้ผู้โดยสารอีกด้วย โดยไอเดียนี้ก็ยังส่งต่อมาถึงยุคปัจจุบัน ในรูปแบบของแกลเลอรี่ศิลปะใต้ดิน, การเชิญศิลปินชื่อดังมาออกแบบแผ่นพับแจกฟรี เป็นต้น นอกจากนี้เขายังให้ความสำคัญกับการจำกัดมลพิษทางเสียงในแต่ละสถานี ดังนั้นในแต่ละขบวนรถจะไม่มีการเปิดโฆษณาเสียงดังกรอกหูผู้โดยสาร หรือแม้กระทั้งนักดนตรีเปิดหมวก(busker)ที่มาแสดงพร้อมรับบริจาคเงินในแต่ละสถานี ก็จะต้องถูกทดสอบและคัดเลือกมาก่อน ว่ามีความสามารถและแนวดนตรีไม่หนวกหูหรือสร้างความเครียดให้กับผู้โดยสาร ถึงจะได้ใบอนุญาติให้แสดง

กล่าวคือ เขาไม่ได้ดูแลแค่ระบบการโดยสาร แต่ยังใส่ใจกับ “ประสบการณ์” ของผู้โดยสารขณะเดินทางอีกด้วย


เพราะในความเป็นจริง ขอบอกเลยว่ารถไฟของลอนดอนนั้น มาบ้างไม่มาบ้าง เปลี่ยนเส้นทางการเดินรถกลางคัน หรือปิดปรับปรุงทั้งสายเลยก็มี เอาแน่เอานอนไม่ได้ ผู้โดยสารต้องคอยดูป้ายประกาศว่าวันนี้ใช้สถานีไหนได้บ้าง เป็นที่เอือมระอาของประชากรชาวเมืองยิ่งนัก ทาง Transport of London จึงต้องทยอยเข็นลูกเล่นใหม่ๆมาเอาใจผู้เดินทางอยู่เสมอ ยิ่งปี 2013 นี้ ถือเป็นปีครบรอบ150ขวบของระบบรางใต้ดินในลอนดอน (ในวันที่ 9 มกราคา ปี1863 รถไฟขบวนแรกวิ่งจากสถานี Paddington ไปถึงสถานี Farringdon ถือเป็นการวิ่งของรถไฟใต้ดินสาธารณะขบวนแรกของโลก) ทางการรถไฟก็เตรียมขบวนกิจกรรมสร้างเสริมสายสัมพันธ์ของผู้โดยสารกับการคมนาคม อาธิเช่น บูรณะรถรางโบราณมาให้นั่ง, ตั้งป้ายอนุญาตให้กอดนายสถานีฟรี, ออกชุดหนังสือประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของรถไฟแต่ละสาย, และยังมีเปิดนิทรรศการภาพศิลปะจากสถานี จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์การขนส่งลอนดอน (London Museum of Transport) ซึ่งทุ่มทั้งงบทั้งไอเดียจนขึ้นชื่อเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่สนุกที่สุดของประเทศอีกด้วย

แน่นอนว่าการสร้างระบบบริการให้กับเมืองใหญ่ มีผู้โดยสารโดยเฉลี่ยสามล้านคนต่อวันไม่ใช่เรื่องง่าย การที่จะทำให้ทุกๆคนพอใจในระบบเดียวกันยิ่งยากไปใหญ่ แต่รถไฟที่ลอนดอนก็สอนให้เรารู้ว่าการใส่ใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็ช่วยเรียกความรู้สึกดีๆ ลบเลือนความเบื่อหน่ายไปได้มากทีเดียว

ใครจะรู้ ต่อไปรัฐบาลไทยอาจจะเอาวิธีนี้มาเรียกคะแนนนิยมให้”รถไฟขนผัก”ในอนาคตก็เป็นได้…

No comments:

Post a Comment