Sunday 22 February 2015

Tea with Eric จิบชากับอิริค


 อิริคแวะมาเยี่ยมเจ้าของบ้านที่ผมเช่าอยู่ แต่หารู้ไม่ว่ามีเด็กหนุ่มอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้อีกคนหนึ่ง
"Would you like anything to drink?" ผมถาม ตามอัธยาศัย
"Black Coffee with a dash of milk ,please" อิริคตอบ ตามอัธยาศัย

หลังจากที่พูดคุยและดื่มกาแฟกันจนหมดแก้วแล้ว อิริคจึงขอตัวกลับ  เขาบอกว่าระหว่างทางกลับบ้านจะแวะไปตลาดวันเสาร์ที่ถนน Church street ซึ่งตั้งห่างออกไปไม่ไกลนัก
คำว่า"ตลาดวันเสาร์"กับ"ไม่ไกลนัก" เรียกความสนใจของผมเป็นอย่างมาก  จนในที่สุดความอยากรู้อยากเห็น บวกกับอากาศที่สดใสดูรู้เห็นเป็นใจ ทำให้ผมหลุดปากถามไปว่า "Can I join you?" ดื้อๆซะงั้น

ตลาด Church street เป็นตลาดวันเสาร์ ซึ่งเคยคึกครื้นอย่างมากในยุค60s ในปัจจุบันตาลแห่งนี้ก็ยังคงเป็นเพชรในตมของนักช็อปอยู่ ด้วยเสียงตะโกนเรียกลูกค้าจากร้านแผงลอยต่างๆ ผสมกับความหลากหลายของสินค้าและความเป็นกันเองของผู้คน ทำให้เสน่ห์ของตลาดยังคงเดิม เหมือนในบรรยากาศที่James Masonเคยบันทึกไว้ในหนังสารคดีเก่าเรื่อง The London Nobody knows ออกฉายจำกัดโรงเมื่อปี 1967 โน้น 

หลังจากที่เดินเที่ยวตลาดซักพัก อิริคพาผมไปขึ้นลิฟท์ที่ซ่อนตัวอยู่ด้านในของตึกสีเขียวใบตองชื่อ Alfies Antique และเมื่อประตูลิฟท์เปิดออกที่ชั้นดาดฟ้า เราก็มาถึง "The  Rooftop Restaurant" ซึ่งถูกเรียกว่า เป็น โอเอซิสลอยฟ้า ของตลาดChurch street โดยอิริคเหล่าว่า ที่นี่เป็นร้านอาหารกึ่งร้านกาแฟสำหรับผู้คนท้องถิ่น ด้วยที่ตั้งอันไม่ธรรมดา  ห่างไกลจากความจอแจข้างล่าง บวกกับอาหารรสอร่อยสริฟในปริมาณใหญ่เกินราคา ถ้าผมจะมาที่ร้านนี้วันเสาร์ควรจะจองโต๊ะไว้ล่วงหน้าเสมอกันผิดหวัง แต่เพราะเขาเองมาที่นี่ติดต่อกันทุกสัปดาห์เป็นเวลาหลายสิบปี พนักงานจึงมักจะมีโต๊ะให้อิริคเสมอ ไม่ว่าร้านจะเต็มขนาดไหนก็ตาม เราเลือกนั่งด้านนอกกลางแจ้ง ไม่นานนัก  กาแฟสองแก้ว, อาหารสามจาน และเวลาเกือบสามชั่วโมงผ่านไปอย่าง รวดเร็ว และแล้วผมจึงเริ่มเข้าใจว่า ผู้ชายคนนี้นั้นไม่ธรรมดาเลย

ถ้าคุณพิมพ์ "Tea with Eric" เข้าไปในช่องค้นหาของ youtube  หนึ่งในวีดีโอที่ขึ้นมาในรายการผลลัพธ์ จะเป็นคลิปของคุณปู่ ผมขาว ใส่แว่นตาทรงเหลี่ยม  จิบชาอังกฤษพลางเหล่าเรื่องประสบการณ์จากวันวานอันหรูหรากับดาราฮอลลีวูดชื่อดัง อย่างEvis Presley, Richard Harris , Elizabeth Taylor, Ava Gardner, Yul Brynner ไปจนถึง เพื่อนซี้ของเขา Sal Mineo ขวัญใจวัยรุ่นในยุค60 ผู้แสดงประกบ James Deanใน Rebel wihout a cause.
 "ซาลเป็นคนที่พิเศษมาก ถึงแม้เขาจะเป็นคนร่างไม่ใหญ่ แต่เวลาที่เขาเดินเข้าไปที่ไหนๆ เขามีเสน่ห์บางอย่างเป็นเหมือนแสงสว่างที่ส่องออกมาจากภายใน  เหมือนหลอดไฟฟ้าที่ปิดเปิดได้ในตัว เป็นความอัศจรรย์ที่ทำให้คนทั้งห้องต้องหันมาดูเขา" อิริคเล่า
ตอนนั้นผมมักจะแวะไปจิบชา และทานข้าวที่แฟล็ตเล็กๆของอิริคบ่อยๆ แต่ละครั้งที่ผมแวะไป เราคุยกันเรื่องการเมืองและสภาพอากาศ(ตามประสาคนอังกฤษ),  วิธีทำอาหารตามฤดูกาล,  ข่าววงการบันเทิง,  ความตกอับในบั้นปลายชีวิตของดารารุ่นเก่า , ฯลฯ โดยไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน บทสนทนาของเรามักจะเข้มข้นสนุกสนานเสมอ
เนื่องจากนิสัยกล้าได้กล้าเสีย และความทะเยอทะยานอันเต็มเปี่ยม ชีวิตของอิริคจึงเต็มไปด้วยเรื่องเล่าสนุกๆจากประสบการณ์จริง อิริคย้ายไปนิวยอร์คและเริ่มอาชีพจากเด็กส่งของตั้งแต่อายุสิบหก จนจับพลัดจับพลูได้ไปเป็นนักออกแบบภายในให้กับบริษัทขนาดยักษ์และดาราชื่อดังในฮอลลีวูด เครดิตของเขาลากยาวตั้งแต่ เป็นผู้ร่วมออกแบบHardrock cafeแห่งแรกในอังกฤษ ไปจนถึง ช่วย Ella Fitzgeraldตกแต่งบ้านในช่วงบั้นปลายชีวิตของเธอ "จริงๆแล้วเธออยากได้บ้านในฮอลลีวูด แต่เพราะเธอเป็นคนดำ ในยุคนั้น ไอ้พวกดาราขี้เหม็นต่างไม่ยอมให้เธอไปอยู่ด้วย  ทั้งๆที่เธอเป็นคนนิสัยดีและรวยจะตายชัก" อีริคเล่าให้ผมฟังวันหนึ่ง ขณะที่เพลงของเธอถูกเปิดในวิทยุสถานี Jazz FMพอดี
แต่ต้องบอกตามตรงว่า เรื่องเล่าฟุ้งเฟ้อของดารา ไม่ใช่สิ่งที่นำผมกลับไปจิบชาที่แฟล็ตของอิริคบ่อยครั้ง 
แต่เป็นคำสอนและปรัชญาที่แฝงอยู่ในเรื่องเล่าเหล่านี้ต่างหากที่น่าสนใจสำหรับผม  เพราะเขาชอบที่จะสอน ส่วนผมนั้นชอบที่จะฟัง ความสัมพันธ์ของเราจึงเป็นไปอย่างเรียบง่ายผ่อนคลาย ไม่ผูกมัดเพราะต่างคนต่างเคารพซึ่งกันและกัน  ถ้าวันไหนผมว่างและคิดถึงก็จะแวะไป หรือถ้าเงียบหายไปนาน อีริคก็จะโทรมาตาม และถึงแม้ผมจะยุ่งแค่ไหน ผมก็จะสละเวลาไปให้ได้
"มิตรภาพคือการให้และการรับ" อีริคเคยพูด "อย่าบ่นว่าเพื่อนทิ้งฉัน  ถ้าอยากเป็นเพื่อนกัน  ต่างคนต้องต่างยื่นมือเข้าหากัน เมื่อเป็นเช่นนี้ มิตรภาพก็จะยืนยาวและมีความสุขทั้งสองฝ่าย"
อีกหนึ่งคำสอนของอิริคที่ผมจำขึ้นใจก็คือ "ในหนึ่งวันคุณควรจะทำให้ได้อย่างน้อยสองอย่าง คือหนึ่ง สิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง และสอง สิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น อาจเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้าทำได้ทุกวัน   ในที่คุณตื่นมา พบว่าตัวเองอายุ70ปี และเมื่อมองย้อนกลับไปในชีวิต คุณจะพูดได้เต็มปากว่า 'มันก็ไม่แย่นะ'"


ทุกวันนี้ ด้วยระยะทางที่ไกลกันมากขึ้น ทำให้ผมไม่ได้กลับไปหาอิริคบ่อยครั้งเหมือนอย่างเคย….แต่พอว่างเมื่อไรก็เปิดคลิปของเขาในยูทูปพลางจิบชาไปพร้อมๆกัน ก็แก้ให้หายคิดถึงคุณปู่ตัวแสบได้ไม่มากก็น้อย

เข้าไปดูวิดีโอของอิริคได้ที่ http://www.youtube.com/user/TEAwithERIC

Tuesday 19 August 2014

Tales of Cocktails มาร์ตินี่ที่เพลย์บอยคลับ

 

 หนุ่มๆหลายคนคงเคยนึกฝันเหมือนผมว่าเกิดมาชาตินี้เราต้องไปนั่งดื่มกับสาวๆชุดกระต่ายที่Playboy Clubให้ได้ซักครั้ง! และหลังจากอยู่ลอนดอนมาหลายปีในที่สุดฝันนี้ของผมก็กลายเป็นจริง เนื่องในโอกาสที่เพื่อนคนสนิทของผมได้รับเชิญไปเป็นดีเจให้งานวันเกิดของนักร้องหนุ่มแนวหน้าวงการอินดี้อังกฤษอย่างJames Blake ซึ่งดันไปจัดในคลับที่นั่นพอดี งานนี้ผมเลยขอติดตามเข้าไปดูให้เป็นบุญตาซักครั้งว่าข้างในคลับสุดเอ็กซ์คลูซีฟนี้ มันเจ๋งเหมือนกิติศัพท์ที่เราเคยได้ยินมาหรือไม่ อย่างไร

The Playboy Cubสาขาแรกนั้นก่อตั้งขึ้นเมื่อปี1960 หลังจากHuge Hefnerตีพิมพ์นิตยสารPlayboy Magazineเล่มแรกเป็นเวลาเจ็ดปี โดยสาขาแรกเปิดตัวที่Chicagoในอเมริกา และได้รับความนิยมอย่างสูงจนได้มาเปิดที่ลอนดอนในปี 1966 เป็นคลับสาขาแรกที่มีบ่อนคาสิโนอยู่ด้านในด้วย แต่ด้วยพิษเศรษฐกิจและปัญหาภายในทำให้คลับแต่ละสาขาทยอยปิดตัวลงในช่วงปลายยุค80s จนเวลาผ่านไปกว่า30ปี Playboy Club London จึงเปิดประตูรับแขกอีกครั้งในแมนชั่นใหม่เอี่ยมออกแบบโดยสถาปนิคลอนดอน Jestico + Whiles ตั้งอยู่เลขที่ 14 ถนนOld park lane ไม่ไกลจากพิกัดของคลับเดิมมากนัก ซึ่งถ้าพูดกันตรงๆทั้งการตกแต่งและตัวอาคารของPlayboy Clubอันใหม่นี้ก็ไม่ได้หรูหราอะไรมาก (อาจเป็นเพราะตั้งอยู่ใกล้ๆโรงแรม Hilton, Hard Rock Cafe และ Four Seasons ทำให้โดนรัศมีความอลังการของโรงแรมใหญ่กลบไปเสียหมด) แต่ทีเด็ดนั้นอยู่ที่สาวๆบันนี่เกิร์ลที่ทั้งสวยเซ็กซี่และเป็นกันเองอย่างเหลือเชื่อ ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไปในคลับ สาวผมทองในชุดกระต่ายแน่นเปรี๊ยะก็รี่เข้ามาต้อนรับผมพร้อมช่วยเอาโค้ทไปแขวนให้ "เพิ่งมาครั้งแรกหรอคะ?"
ผมพยักหน้าและยิ้มให้เธอแบบอายๆ เธอหัวเราะคิกคักแล้วบอกว่า "don't worry, you will have a great night!" พูดจบปุ๊บเธอก็ฝากให้เพื่อนสาวบันน่ีเกิร์ลอีกคนพาพวกเราไปด้านในของส่วนคลับชื่อว่า Baroque “คลับของเราแบ่งเป็นหลายส่วนคะ มีทั้งคาสิโน่ ร้านอาหารโดยเชฟJudy Joo, เลานจ์สำหรับสมาชิก คอคเทลบาร์และส่วนคลับBaroque เป็นที่จัดงานแลี้ยงและการแสดงดนตรีสดด้วย” พอเธออธิบายจบ สาวบันนี่อีกคนก็ออกมารับพวกเราเข้าไปด้านใน ผมเดาว่าเธอน่าจะเป็นระดับหัวหน้าบันนี่ดูจากบุคลิคที่คมเข้มสง่างามและเครื่องแบบที่เป็นบราเซียฟังเพชรแวววาวกว่าสาวๆคนอื่นๆ “Welcome darling!” เธอจูบทักทายผมที่แก้มสองข้างเหมือนคนคุ้นเคย ทำเอาผมหน้าแดงระเรื่อตั้งแต่หัวค่ำ

เราเต้นบนฟลอร์ซักพักจนถึงเวลาเที่ยงคืน ไฟสปอต์ไลต์สว่างจ้าก็ฉายมาที่บันนี่เกิร์ลสามคน ซึ่งช่วยกันเข็นแก้วทรงสูงกว่าสามสิบใบที่ถูกวางซ้อนกันเป็นทรงปิรามิตออกมาหน้าตรงหน้าโต๊ะของเรา  ไม่ทันไรขวดแชมเปญราคาแพงก็ถูกเปิดดัง "โป๊ะ!ๆๆ" สองสามขวดพร้อมๆกัน ส่งสัญญาณเริ่มประเพณีการเท champagne fountain ให้กับเจ้าของวันเกิด (ประมาณว่าที่นี่เขาไม่เสริฟเค้ก แต่เสริฟเครื่องดื่มราคาแพงอย่างแชมเปจให้เป็นของขวัญแทน) ในจุดนั้น คงไม่มีคำอื่นนอกจากคำว่า "ฟิน" ที่จะพรรณาอรรถรสในการได้เห็น แชมเปญสีทองถูกรินออกจากขวดในมือของเหล่าสาวๆบันนี่เกิร์ล ไหลล้นเอ่อผ่านแก้วทีละใบๆลงเป็นน้ำตกสีทองต่อหน้าต่อตา มันเป็นความฟุ้งเฟ้ออย่างเหลือเชื่อจนผมต้องแอบหยิกตัวเองให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันอยู่! เสียดายที่ตัวนักร้องหนุ่มเจ้าภาพนั้นแทบจะไม่ได้สนใจอะไรเท่าไรนัก ดูจะมุ่งมั่นกับการเกี้ยวสาวเงียบๆอยู่ในมุมของโซฟาส่วนตัวของเขาเสียมากกว่า  แต่ตัวผมเองดันได้นั่งอยู่กลางโต๊ะพอดีแถมหน้าตาตื่นเต้นตีไม้ตีมืออยู่คนเดียว พร้อมคว้าโทรศัพท์มาถ่ายวิดีโอสุดฤทธิ์ ทำเอาแขกคนอื่นๆเข้าใจผิดหันมาแฮปปี้เบิร์ดเดย์ผมซะงั้น

นอกจากได้จิบแชมเปญแล้ว มาถึงPlayboy clubทั้งที จะไม่ลองค็อกเทลด้วยก็กะไรอยู่ เพราะเขามี Savatore Bar ที่ก่อตั้งโดยเจ้าพ่อค็อกเทลชื่อดังของลอนดอนอย่าง Salvatore Calabrese ผู้คิดค้นเครื่องดื่มคลาสสิคหลายแก้ว อย่าง Spicy Fifty, Melon Fizz และ Breakfast Martini เป็นต้น โดยเฉพาะเจ้าBreakfast Martiniนี่ที่มาน่าสนใจ ว่ากันว่ามันถูกคิดค้นขึ้นไม่นานมานี้ในช่วงปี90s ตอนที่เขาทำงานอยู่ที่ Library bar ในโรงแรมหรู The Lanesborough hotel ใกล้ๆกับ Hyde Park corner ตัวSavadoreเองปรกติแล้วจะดื่มแค่กาแฟespressoเป็นอาหารเช้าเท่านั้น แต่วันดีคืนดีภรรยาของเขากลับทำขนมปังปิ้งทาแยมส้ม(marmalade)มาบังคับให้Savadoreกินเป็นอาหารเช้าแทน ทำให้วันนั้นเขาหยิบขวดแยมส้มติดมือไปที่บาร์ด้วย และในที่สุดก็นำแยมส้มหนึ่งช้อนโต๊ะ ไปผสมกับ Gin 50มิลลิลิตร, เหล้า Triple Sec และน้ำส้มคั้นสด อย่างละ12 มิลลิลิตร ออกมาเป็นBreakfast Martiniรสเปรี้ยวหวานอย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน

แต่ค็อกเทลที่ดังที่สุดของลอนดอนก็คงหนีไม่พ้น Vesper Martini ที่ถึงแม้จะมีน้อยคนรู้จัก Gilberto Preti บาร์เทนเดอร์ตัวจริงผู้คิดค้นสูตรของมันในลอนดอนช่วงปี1950s แต่หลายๆคนกลับจำเครื่องดื่มนี้ได้จากนิยายJames Bondเล่มแรก The Casino Royale นั่นเอง เพราะIan Flemingผู้เขียนนั้นประทับใจค็อกเทลสูตรนี้อย่างมากจนเอาไปใส่ในเนื้อเรื่อง ให้ครั้งหนึ่ง นักสืบ007สุดหล่อได้เข้าไปในบาร์และโชว์เหนือสั่งบาร์เทนเดอร์ให้ผสมค็อกเทลตามใจตน  “เอาGordon’sจินสามส่วน, วอดก้าหนึ่งช็อต, Kina Lillet ครึ่งช็อต, เขย่ากับน้ำแข็งให้ดีจนเย็นเฉียบแล้วเสริฟกับเปลือกเลมอนบางๆ, เข้าใจไหม?” พอบาร์เทนเดอร์เสริฟมาให้ บอนด์ก็พอใจมากและสุดท้ายตั้งชื่อให้ค็อกเทลนี้ตามนักสืบสาว Vesper Lynnที่เขาตกหลุมรักในเรื่องนั่นเอง ซึ่งเมื่อนิยายนี้ถูกตีพิมพ์ สูตรค็อกเทลดังกล่าวถูกวิภาษณ์วิจารณ์อย่างมากด้วยเหตุผลสามข้อคือ 1.ปกติแล้วคนชงจะไม่ผสมจินและวอดก้าเข้าด้วยกัน 2.ถ้าค็อกเทลมีจิน คนชงมักไม่เขย่าเพราะจะทำให้รสชาติของจินเสีย และ3. Kina Lillet(เดี๋ยวนี้เปลี่ยนชื่อเป็นLillet Blanc)เป็นส่วนผสมที่แปลกเพราะคนส่วนมากจะเลือกใช้ Dry vermouth แทน

 ส่วนตัวผมเองถึงจะไม่เคยอ่านนิยาย เจมส์ บอนด์ แต่พอได้จิบค็อกเทลรสเข้ม แถมถูกล้อมรอบไปด้วยสาวสวยในชุดกระต่าย ก็รู้สึกเท่ห์เหมือนักสืบสายลับในหนังสือ007ได้ไม่ยากเลย

สรุปว่าคืนนั้นก็จัดเต็มไปหลายแก้วจนเช้า โชคดีทีสามารถลงบิลในชื่อคุณเพื่อนไว้ได้ทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินซักบาท ไม่งั้นมีหวังกระเป๋าฉีกแบบไม่ต้องสืบแน่ๆ

Wednesday 28 May 2014

Paul Smiths ; สุภาพบุรษสุดแนว

 


ขณะที่ “แฟชั่นรักชาติ” กำลังระบาดทั่วเมืองไทย มีทั้งการคาดธงชาติ ใส่เสื้อสีหรือพิมพ์คำสโลแกนแสดงจุดยืนทางการเมืองมากมาย ทำให้ผมกลับนึกไปถึงแบรนด์หนึ่งของอังกฤษที่จับเอาอัตลักษณ์ของชาติมาเป็นจุดขายได้อย่างน่าสนใจ  ส่งให้เสื้อสูทและเสื้อเชิ้ตของเขาเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆแฟชั่นนิสต้าทั่วโลก (รวมถึงตัวผมเองด้วย…ถึงแม้ปัจจุบันจะมีปัญญาซื้อแค่กางเกงในก็ตาม) แบรนด์ที่ว่านี้ก็คือ Paul Smith นั่งเอง

รู้ไหมว่า จริงๆแล้วคุณพอลเจ้าของแบรนด์ ตอนเด็กๆไม่เคยคิดอยากที่จะเข้าวงการแฟชั่น  แต่เขาอยากจะเป็นนักปั่นจักรยานระดับโลก! เสียดายที่ตอนอายุสิบเจ็ดปีเขาดันประสบอุบัติเหตุทำให้ต้องเข้าโรงพยาบาลและบอกลาความฝันดังกล่าวไปอย่างถาวร ตอนนั้นเขาต้องพักฟื้นรักษาตัวเป็นเวลาหกเดือน นานจนได้มีเพื่อนใหม่ที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยศิลปะและการออกแบบแถวๆนั้น ลากพอลเข้าไปอยู่ในสังคมสร้างสรรค์ ทำให้เขามีความสนใจในแฟชั่นแล้วตัดสินใจลงเรียนภาคค่ำวิชาตัดสูทที่ Notthinghamshire ในที่สุดได้ไปทำงานให้กับร้าน Lincroft Kilgour บนถนนSavile Row ซึ่งเป็นถนนขึ้นชื่อด้านการตัดชุดบุรุษที่เนี้ยบที่สุดในโลก ต่อมาปี1969เข้าได้เจอกับภรรยาของเขา Pauline Denyer ผู้สนับสนุนให้พอลล์เปิดร้านของตัวเอง และเริ่มตัดเย็บเสื้อผ้ายี่ห้อของตัวเองขายด้วย โดยมีจุดเด่นโดยใช้ความปราณีตของการตัดเย็บขนบอังกฤษ มาผสมกับรายละเอียดสุดจี๊ดจากวัฒนธรรมร่วมสมัย ทำให้เสื้อผ้าของพอลได้รับนิยมอย่างกว้างขวาง แต่สิ่งที่ทำให้แบรนด์ของเขาติดตลาดคือการใส่อารมณ์ขันและความเท่ห์แบบวิถีอังกฤษเข้าไปในทุกๆอณู ตั้งแต่การบริหารแบบบ้านๆ(บริษัทของเขาไม่เคยขอเงินกู้จากธนาคาร), แคมเปญการตลาดป่วงๆสวนกระแส, ไปจนถึงการแต่งช็อปแบบรกๆตามใจฉันเหมือนร้านขายของชำเก่า
“ผมไม่เคยประนีประนอมเรื่องร้าน,” พอลกล่าว “มันเต็มไปด้วยของมากมายที่ตอนแรกๆคนไม่สนใจ ไม่มีใครเห็นคุณค่า แต่ต่อมาเรื่อยๆพวกเขาจึงเริ่มเข้าใจมัน ดังนั้นมันเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องยึดมั่นกับอุดมการณ์ของเรา ถึงลับหลังเราอาจจะต้องไปทำอย่างอื่นเพื่อหาเงินจ่ายค่าเช่าบ้านพลางๆก็ตาม”


ที่สตูดิโอของพอลในย่าน โคเวนท์ การ์เดน ก็มีเพียงบนโต๊ะrosewoodขนาดใหญ่หนึ่งตัวเท่านั้นที่ว่างๆปราศจากความรก ส่วนพื้นที่อื่นๆของออฟฟิศทุกตารางนิ้วนั้นอัดแน่นไปด้วยสมุดหนังสือ,จักรยาน,หุ่นยนต์ของเล่น,กระต่าย,จดหมาย,ใบเสร็จ และของกระจุกกระจิกมากมาย โดยพอลบอกว่าห้องนี้เปรียบเสมือนสมองของเขาที่เก็บสิ่งต่างๆไว้ต่อยอดไอเดียออกแบบในงานของเขา “ถ้าเราตั้งใจมองรอบๆตัวเรา เราจะสามารถเจอแรงบันดาลใจได้จากสิ่งต่างๆมากมาย และไม่จำเป็นต้องไปก็อปปี้จากใครอื่น” นอกจากนี้พอลยังบอกว่า ลอนดอน เป็นเมืองโปรดของเขาเพราะแต่ละย่านที่ประกอบเป็นเมืองนี้ ล้วนมีลักษณะที่ี่โดดเด่นและแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง “คุณจะสามารถเห็นได้ว่า ในลอนดอนนั้น “ความเก่า” เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของ “ความใหม่” และมันน่าตื่นเต้นมากๆที่ได้เห็นสถานที่หนึ่งสามารถเปลี่ยนแปรอยู่ตลอดเวลาในขณะเดียวกันก็ยังคงความเป็นตัวของตัวเองไว้ด้วย” หนึ่งในสัญลักษณ์ของการผสมผสานนี้อยู่ในลายริ้วหลากสีอันเป็นเอกลักษณ์ยอดนิยมของยี่ห้อ Paul Smith ซึ่งได้แรงบันดาลใจมากจากใยผ้าทอนั่นเอง นอกจากนี้เรายังสามารถเห็นไลฟ์สไตล์ของพอลในคอลเล็คชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่ายของเขาที่เอามาพิมพ์บนผ้า,สีสันจากตลาด Portabello Market, ภาพการ์ตูนที่เขาชื่นชอบ, รูปทรงของจักรยาน, ไปจนถึงลายพิมพ์และวิธีปักผ้าจากประเทศต่างๆที่เขาได้ไปเที่ยวมา ทั้งหมดนี้ถูกจับผสมรวมกันด้วยการตัดเย็บแบบคลาสสิคอังกฤษ กลายเป็นเสื้อผ้าที่ทั้งเท่ห์และสนุก แถมเปลี่ยนแปลงไปตามสังคมร่วมสมัยของอังกฤษอย่างไม่หยุดนิ่ง  ปฏิรูปความน่าเบื่อของชุดลำลองตามแบบแผนมาตรฐานไปโดยสิ้นเชิง

ปัจจุบันมีร้าน Paul Smith อยู่มากกว่าสามร้อยสาขาทั่วโลก มีญี่ปุ่นเป็นตลาดใหญ่ที่สุดและครองสี่สิบเปอร์เซนต์ของส่วนขายทั้งหมด และได้ขยายภาพลักษณ์ไลฟ์สไตล์สุดคูลไปเกินขอบเขตของเสื้อผ้าในแบรนด์ตัวเอง โดยพอลได้ไปร่วมออกแบบให้กับสินค้าiconicต่างๆ อาธิเช่น เสื้อRaphaสำหรับการแข่งปั่นจักรยาน Tour de France, เฟรมจักรยาน Stelton, ขวดน้ำแร่Evian, กล้องLeica, ไปจนถึงผลิตพันธ์ที่เป็นอังกฤษจ๋า อย่างรถmini, ขวดซอสHP, แผ่นเสียงไวนิลของDavid Bowie และแสตมป์สำหรับงานกีฬาโอลิมปิคปี2012 เป็นต้น ส่วนในคอลเล็คชั่นของเขา พอลก็นำงานของศิลปินระดับชาติของอังกฤษอย่าง Henry Moore, Craigie Aitchison และ Alan Aldridge มาพิมพ์บนผลิตพันธุ์, จัดงานแฟชั่นโชว์ที่หอศิลป์แห่งชาติ Tate Britian พร้อมๆกับเขียนบล็อค สนับสนุนนักออกแบบท้องถิ่นรุุ่นใหม่ๆอย่างAgi&Sam และจัดนิทรรศการใหญ่ที่ Design Museum อธิบายถึงวิธีคิดและแรงบันดาลใจเบื้องหลังผลงานอีกด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงศักภาพแบรนด์อังกฤษที่ใช้เอกลักษณ์ของตัวเองมาเป็นจุดขายได้อย่างประสบความสำเร็จ แถมยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจและกระบวนการคิดสร้างสรรค์ที่มีวัตถุดิบเป็นวัฒนธรรมของชาติ
จนพอลถึงกับได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็นอัศวินจากพระราชินีElizabeth ได้คำนำหน้าชื่อเป็น “Sir” Paul Smith!

 “สายตาของผมมองสิ่งต่่างๆไม่เคยหยุดนิ่งไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหนในโลก อย่างไรก็ดีผมตรรหนักถึงความเป็นอังกฤษของมุมมองผม และนึกอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นเหมือนฑูตวัฒนธรรมอังกฤษของโลกใบนี้” พอลกล่าว

นี่ซิ “แฟชั่นรักชาติ” ของจริง!

นิทรรศการ HELLO, MY NAME IS PAUL SMITH เปิดให้เข้าชมแล้วที่ Design Museum London ตั้งแต่วันนี้ถึง 9 มีนาคม 2014 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://designmuseum.org 

Mind the Gap สถานี ที่รัก

 
“Mind The Gap, please” ประโยคสั้นๆ แต่แปลเป็นไทยโดยMRTบ้านเราได้ยาวเฟื้อยว่า  “ท่านผู้โดยสารโปรดระมัดระวังขณะก้าวออกจากรถ” ถือเป็นประโยคที่เราได้ยินกันบ่อยๆจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันคนกรุงเทพฯ แต่มีใครเคยคิดไหมว่า เสียงเตือนธรรมดาๆนี้อาจมีความหมายเป็นพิเศษสำหรับใครบางคน?

ที่ลอนดอนมีเรื่องเกิดขึ้นเป็นข่าวใหญ่ไม่นานมานี้ เมื่อหญิงหม้ายวัย65 ยื่นเรื่องขอร้องทางคมนาคมของลอนดอน (Transport of London)ให้เก็บเสียงพูด “Mind The Gap, please” แบบดั้งเดิมณ สถานี Embankment ไว้ หลังจากที่รถไฟใต้ตินทำการพัฒนาเปลี่ยนระบบเครื่องเสียงใหม่ในปีที่แล้ว โดยให้เหตุผลว่า เจ้าของเสียงตามสายนั้นคืออดีตสามีของเธอที่ล่วงลับไปนั่นเอง “ถ้าเป็นไปได้ ดิฉันพยายามจะเลือกเส้นทางที่ผ่านสถานีนี้เสมอ เพราะทุกๆครั้งที่ได้ยินเสียงเขา มันทำให้ดิฉันมีความสุข…เสียงประกาศนี้อยู่คู่กับสถานีนี้มา40ปี แต่ในเดือนพฤจิกายนที่ผ่านมา ดิฉันกลับต้องรู้สึกใจหายเมื่อทางสถานียุติการใช้เสียงของเขา จนคิดว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่าง” คุณ Margaret McCollum อดีตภรรยาของ Oswald Laurence นักแสดงเจ้าของเสียงประกาศในสถานี ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์หลายฉบับ รวมไปถึงสำนักงานข่าวระดับประเทศอย่าง BBC จนสุดท้ายหนังสือคำร้องของเธอได้ไปถึงนายสถานีและทางผู้บริหารการคมนาคมได้ออกมาแถลงข่าวใหญ่โตว่า พวกเขาก็เห็นใจเธออย่างมาก และจะจัดหาช่างซ่อมเครื่องเสียงมากู้เทปเสียงของ Oswald Laurence ให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ที่สถานีอีกครั้ง!

ในชั่วข้ามคืนเรื่องรักน้อยนิดนี้กลับเรียกกระแสความนิยมให้กับการรถไฟของลอนดอนได้อย่างท่วมท้น แต่หากสังเกตุดีๆ กลยุทธเรียกคะแนนเสียงโดย “การใส่ใจกับรายละเอียด” ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะส่วนประกอบยิบย่อยของระบบขนส่งที่นี่ล้วนถูกดีไซน์มาแล้วอย่างดี เริ่มตั้งแต่แผนที่ Tube map  มีเวอร์ชั่นมาตรฐานอันแรกออกแบบโดยนายสถานี Harry Beck โดยมีคอนเซปท์ง่ายๆว่า ผู้คนที่ใช้รถใต้ดินมักจะไม่รู้สึกถึงระยะทางระหว่างสถานีอยู่แล้ว แผนที่รถไฟจึงไม่จำเป็นต้องแสดงระยะการเดินทางตามความเป็นจริง(distance) แค่ตัดทอนให้เห็นเฉพาะเส้นทาง(direction)ก็พอ ซึ่งแนวคิดนี้ก็กลายเป็นต้นแบบของแผนที่รถไฟฟ้าทั่วโลก และ การรถไฟลอนดอนยังบุกเบิกแนวคิดการใช้ศิลปะในสถานีขนส่งมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่20 โดยเฉพาะในปี1908 ทางการรถไฟริเริ่มว่าการจ้างศิลปินให้วาดภาพท่องทุ้ง, แหล่งช็อปปิ้ง ไปจนถึงโฆษณากิจกรรมสำคัญๆของเมือง รวมอยู่ในแผ่นโปสเตอร์ของการรถไฟ เพื่อรณรงค์ให้ผู้คนใช้รถไฟและเป็นสันทนาการแก่ให้ผู้โดยสารอีกด้วย โดยไอเดียนี้ก็ยังส่งต่อมาถึงยุคปัจจุบัน ในรูปแบบของแกลเลอรี่ศิลปะใต้ดิน, การเชิญศิลปินชื่อดังมาออกแบบแผ่นพับแจกฟรี เป็นต้น นอกจากนี้เขายังให้ความสำคัญกับการจำกัดมลพิษทางเสียงในแต่ละสถานี ดังนั้นในแต่ละขบวนรถจะไม่มีการเปิดโฆษณาเสียงดังกรอกหูผู้โดยสาร หรือแม้กระทั้งนักดนตรีเปิดหมวก(busker)ที่มาแสดงพร้อมรับบริจาคเงินในแต่ละสถานี ก็จะต้องถูกทดสอบและคัดเลือกมาก่อน ว่ามีความสามารถและแนวดนตรีไม่หนวกหูหรือสร้างความเครียดให้กับผู้โดยสาร ถึงจะได้ใบอนุญาติให้แสดง

กล่าวคือ เขาไม่ได้ดูแลแค่ระบบการโดยสาร แต่ยังใส่ใจกับ “ประสบการณ์” ของผู้โดยสารขณะเดินทางอีกด้วย


เพราะในความเป็นจริง ขอบอกเลยว่ารถไฟของลอนดอนนั้น มาบ้างไม่มาบ้าง เปลี่ยนเส้นทางการเดินรถกลางคัน หรือปิดปรับปรุงทั้งสายเลยก็มี เอาแน่เอานอนไม่ได้ ผู้โดยสารต้องคอยดูป้ายประกาศว่าวันนี้ใช้สถานีไหนได้บ้าง เป็นที่เอือมระอาของประชากรชาวเมืองยิ่งนัก ทาง Transport of London จึงต้องทยอยเข็นลูกเล่นใหม่ๆมาเอาใจผู้เดินทางอยู่เสมอ ยิ่งปี 2013 นี้ ถือเป็นปีครบรอบ150ขวบของระบบรางใต้ดินในลอนดอน (ในวันที่ 9 มกราคา ปี1863 รถไฟขบวนแรกวิ่งจากสถานี Paddington ไปถึงสถานี Farringdon ถือเป็นการวิ่งของรถไฟใต้ดินสาธารณะขบวนแรกของโลก) ทางการรถไฟก็เตรียมขบวนกิจกรรมสร้างเสริมสายสัมพันธ์ของผู้โดยสารกับการคมนาคม อาธิเช่น บูรณะรถรางโบราณมาให้นั่ง, ตั้งป้ายอนุญาตให้กอดนายสถานีฟรี, ออกชุดหนังสือประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของรถไฟแต่ละสาย, และยังมีเปิดนิทรรศการภาพศิลปะจากสถานี จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์การขนส่งลอนดอน (London Museum of Transport) ซึ่งทุ่มทั้งงบทั้งไอเดียจนขึ้นชื่อเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่สนุกที่สุดของประเทศอีกด้วย

แน่นอนว่าการสร้างระบบบริการให้กับเมืองใหญ่ มีผู้โดยสารโดยเฉลี่ยสามล้านคนต่อวันไม่ใช่เรื่องง่าย การที่จะทำให้ทุกๆคนพอใจในระบบเดียวกันยิ่งยากไปใหญ่ แต่รถไฟที่ลอนดอนก็สอนให้เรารู้ว่าการใส่ใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็ช่วยเรียกความรู้สึกดีๆ ลบเลือนความเบื่อหน่ายไปได้มากทีเดียว

ใครจะรู้ ต่อไปรัฐบาลไทยอาจจะเอาวิธีนี้มาเรียกคะแนนนิยมให้”รถไฟขนผัก”ในอนาคตก็เป็นได้…

Thursday 13 March 2014

The School of Rebels : ผมเป็นเด็ก เซนต์ มาร์ติน


­­­
ผมยังจำวันแรกที่มหาลัยได้ดี 
วันนั้นผมสวมรองเท้าPaul Smithsสีขาว  แจ็กแก็ตลายดอกคลุมตัวที่ชุ่มเหงื่อถึงแม้อากาศข้างนอกจะแค่ห้าองศา  มันอาจเป็นความตื่นเต้นจากสิ่งแวดล้อมใหม่  หรือ จากความโกลาหลวุ่นวายของนักเรียนเกือบพันคน ที่อัดแน่นกันอยู่ในทางเดินแคบๆของตึกเก่าบนSouthampton Row  หลายคนถือแฟ้มผลงานขนาดใหญ่  มีสีผมแสนเปรี้ยวแสบตา ไปจนถึงเสื้อผ้าอันแปลกประหลาด คุยกันเสียงดังถึงไอเดียและแรงบันดาลใจของแต่ละคน...
สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมรวมกัน กลายเป็นบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกว่า "อะไรก็เกิดขึ้นได้"....
หรือนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นความเป็น "กบฏ" ของเด็กเซนต์ มาร์ติน?


ผมสอบติดมหาวิทยาลัยด้านศิลปะและการออกแบบ Central Saint Martins ในเมืองลอนดอนไม่กี่ปีที่แล้ว  แต่ถ้าจะย้อนไปพูดเรื่องจุดเริ่มความเป็นกบฏของสถาบันนี้ ต้องท้าวความไปกว่าสองร้อยปี เมื่อศิลปินและนักสังคมนิยม William Morris ผู้ริเริ่ม Art & Crafts movement ปลุกระดมให้นักออกแบบหันกลับมาใช้รูปทรงจากธรรมชาติและงานฝีมือ สวนกระแสกับยุคสมัยการปฏิวัติอุตสาหกรรม(Industrial Revolution) ในช่วงต้นถึงกลางศตวรรษที่19 ประกอบกับการปฏิรูปแนวคิดที่ต้องการให้ศิลปะสามารถเข้าถึงได้จากคนทุกชนชั้น ผลักดันรัฐให้เปิด “สถาบันชนชั้นแรงงาน” ที่สอดแทรกสุนทรียศาสตร์เข้าไปในงานออกแบบทุกชนิด เกิดเป็นมหาวิทยาลัย London’s Central School of Arts and Crafts ในปี 1896 และรวมตัวกับ Saint Martins School of Art กลายเป็น Central Saint Martins ในปี1989 นับจากวันนั้นถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยนี้ยังคงความสวนกระแสและผ่าเหล่ามาตลอด เห็นได้จากนิสิตชื่อดังที่จบออกมา ไม่ว่าจะเป็นนักออกแบบแฟชั่น Alexander McQueen, ศิลปินคู่ Gilbert and Gorge  รวมทั้ง Malcolm McLaren บิดาแห่ง Punk ในยุค80s ผู้ก่อตั้งวงขวางโลกอย่าง The Sex Pistols  จะเห็นได้ว่าไอเดียของพวกเขาล้วนแปลกประหลาดท้าขนบ แต่ก็ประสบความสำเร็จและกลายเป็นผลงานผลิกเปลี่ยนโฉมหน้าของวัฒนธรรมอังกฤษทั้งสิ้น

แปลว่า ความเป็น"กบฏ" คือสิ่งสำคัญในการสร้างสรรค์?

ในประสบการณ์ของผม ความเปิดกว้างของเซนต์ มาร์ตินทำให้ผมกล้าที่จะกล้าลองผิดลองถูก  กล้าที่จะแหกคอก ทำงานแบบห่ามๆตั้งแต่เทสีแดงลงบนตัวแล้วกลิ้งเกลือกเป็นรูปภาพมือเปื้อนเลือดของหมอตำแย ไปจนถึงวาดภาพที่มีนัยยะทางเพศระหว่างคนกับช้างเผือก ซึ่งแทนที่จะโดนเซนเซอร์หรือดุด่า เพื่อนๆและอาจารย์กลับสนับสนุนการตีความของผมอย่างเต็มที่ วิสัยทัศน์ของพวกเราจะไม่ถูกตัดสินว่าถูกหรือผิด ขอแค่เพียงให้นักเรียนต้องซื่อสัตย์ และกล้าที่จะตั้งคำถามกับเรื่องที่เคยถูกสอนมา ซึ่งบางครั้งต้องโยงไปถึงเรื่องส่วนตัวมากๆ และยากที่จะพูดออกถึง แต่อาจารย์ผู้สอนก็จะมีวิธีเค้นออกมาจนได้ เช่นมีอยู่ครั้งหนึ่ง อาจารย์์เลือกที่จะไปจัดวิชาเรียนในบาร์ แถมซื้อเบียร์เลี้ยงเด็กทุกคน คนละแก้ว ซึ่งตอนเริ่มคาบก็ยังเงียบๆอายกัน แต่พอหมดแก้วปรากฏว่าทุกคนล้วนแสดงความคิดตัวเอง แถมวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเต็มที่ เป็นต้น  หรืออีกกรณีที่น่าสนใจคือ มีนักวาดภาพ Jasimmine Yip เขียนสโลแกนเสียดสีหลายมหาวิทยาลัยศิลป์ในลอนดอนอย่างเจ็บแสบ สำหรับเซนต์ มาร์ติน เธอเขียนไว้สองอันคือ CSM:Pretentious Little Shits และ CSM: Lifestyle not Education โดยคำขวัญเหล่านี้ทั้งๆที่มีความหมายรุณแรง แต่ได้ถูกใส่ไปในแพ็ครับน้องใหม่หลายพันชิ้นในปีการศึกษา 2009 จนสุดท้ายทางมหาวิทยาลัยเองก็ออกมาชื่นชมความห้าวหาญของเธอ แถมซื้องานทั้งชุดไว้แสดงที่พิพิธภัณฑ์ของทางสถาบัน ทำให้นักเรียนทุกคนเห็นว่าในที่แห่งนี้ ความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาจะได้รับการตอบรับเสมอ แม้จะเป็น ความคิดชายขอบสุดโต่งก็ตาม

ในวันรับปริญญาของผม บัณฑิตกิตติมาศักดิ์ Jarvis cocker (นักร้องนำวงPulp) กล่าวในสุนทรพจน์ของเขาว่า “สิ่งที่ผมยังคงพกติดตัวมาจากเซนต์มาร์ตินมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่ความรู้จากหนังสือ แต่เป็นมุมมองอันบ้าบิ่นต่างหาก”

อย่างไรก็ดี ไม่ช้าก็เร็ว เหล่าความคิดชายขอบก็จะถูกผลักดันจนไปเป็นกระแสหลัก เหล่ากบฏก็ต่อสู้จนได้รับการยอมรับและกลายเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันที่สุด
เหมือนผมในวันนี้ที่กลับมาโรงเรียนอีกครั้ง สวมPaul Smithsสีขาวคู่เดิม แจ็คเก็ตลายดอกตัวเดิม  แต่เปลี่ยนบทบาทจากนักศึกษาหัวดื้อ กลายมาเป็นครูผู้สอนเสียเองหลังเรียนจบไม่กี่วัน

พอเปิดประตู พบกับเหล่าเด็กวัยรุ่นเกือบสามสิบคน มองผมด้วยสายตาขวางๆ…
คราวนี้ต้องรอลุ้นกันว่าจะลงเอยอย่างไร เมื่อ กบฏ (รุ่นเก่า) เจอ กบฎ (รุ่นใหม่) เสียเอง….

Wednesday 11 December 2013

"3....2....1...วาด!!!"

"3....2....1...วาด!!!"
เมื่อสิ้นเสียงของผม ผู้เข้าแข่งขันสิบคนทั้งเด็กตัวเล็กจวบจนผู้ใหญ่ตัวโตพร้อมใจกันคว้าดินสอ สีไม้ ปากกา และแท่งชาโคล ขึ้นละเลงบนกระดาษขาวที่ถูกเตรียมไว้บนขาตั้งกระดานวาดรูปของแต่ละคนอย่างตื่นเต้น  บางคนขะมักเขม้นใส่ใจอยู่กับผลงานของตัวเอง  อีกหลายคนแอบชำเลืองมองรูปของคนข้างๆพลางหัวเราะติชมกันไปมาอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางสายตาของคนที่ผ่านไปมา ในห้องโถงใหญ่ของพิพิธภัณฑ์ Victoria&Albert หรือ the V&A... ทำเอาตัวผมเองที่ยืนอยู่บนเวทียังไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ว่าบรรยากาศเจี๊ยวจ๊าวและมีชีวิตชีวาขนาดนี้ จะเกิดขึ้นในพิพิธภัณฑ์ระดับชาติที่มีประวัติยาวนานย้อนไปถึงปี 1851

ความเด็ดของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เริ่มกันตั้งแต่ชื่อ ที่ตั้งเพื่อเป็นเกียรติกับเจ้าชายAlbertและพระราชินีVictoria ผู้สนับสนุนอุดมการณ์ให้ศิลปะและงานออกแบบเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้จากชนชั้นทำงาน (สวนกระแสของพิพิธภัณฑ์ที่โด่งดังในขณะนั้นซึ่งแสดงแต่ศิลปะของชนชั้นสูง เช่น National Gallery) และใช้ความรู้เป็นแรงผลักดันวงการอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจ ส่งผลให้มีคอลเล็คชั่นศิลปะและงานออกแบบอันมโหฬารประกอบด้วยสิ่งของและโบราณวัตถุกว่า4.5ล้านชิ้น จากตลอดช่วงเวลาในประวัตศาสตร์กว่า5,000ปี และที่เจ๋งที่สุดคือมีกิจกรรมการเรียนรู้ดีๆให้เข้าร่วมฟรีตลอดศก จึงไม่แปลกที่สถานที่แห่งนี้จะได้จัดอยู่ในลำดับต้นๆของ “หนึ่งร้อยพิพิธภัณฑ์ที่ต้องไปดูก่อนตาย”* และทำให้ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรช่วยจัดอบรมเชิงปฎิบัติการ ร่วมกับศิลปินสาวไฟแรง Alexa Galea เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม V&A Summer camp ที่จะมีขึ้นในฤดูร้อนของทุกปี


ในปีนี้มีการแบ่งประเภทของกิจกรรมเป็นสามหัวข้อ คือ Idea ที่ครอบคลุมหลากหลายการสัมนา,  Make เป็นกิจกรรมประกอบนิทรรศการว่าด้วยพลังของงานประดิษฐ์สร้างสรรค์ และสุดท้าย Design ที่มีเวิร์คช็อปสนุกๆให้ผู้เยี่ยมชมได้ลงมือออกแบบโดยใช้ประติมากรรมและจิตรกรรม จากในพิพิธภัณฑ์เป็นแรงบันดาลใจ ซึ่่งหนึ่งในนั้นก็คือกิจกรรม Speed Drawing ของพวกเรานั้นเอง มีกติกาง่ายๆ คือ ให้ผู้เข้าแข่งขันสิบคนวาดรูปด้วยอุปกรณ์ที่เตรียมไว้ให้ ภายในเวลาแค่สองนาที! ส่วนสิ่งที่นำมาเป็นแบบให้วาดก็คือ ถ้วย โถ รูปปั้น และสิ่งของต่างๆในพิพิธภัณฑ์นั่นเอง และใครที่สามารถ“เล่าเรื่อง”ด้วยรูปสิ่งของเหล่านี้ได้ดีที่สุด(ไม่จำเป็นต้องสวย)ในรอบนั้น จะได้รับรางวัลเป็นตั๋วเข้าชมนิทรรศการหมุนเวียนของ V&A ฟรี  แต่เอาเข้าจริงๆคนส่วนมากที่เข้ามาต่อคิวก็ไม่ได้หวังเรื่องแพ้ชนะ แค่อยากมาเล่นเพราะว่ามันดูสนุกเท่านั้นเอง
บรรยากาศโดยรวมจึงไม่เครียดและเป็นกันเองตลอดวัน เริ่มตั้งแต่ตอนเช้า เราประกอบเวทีเล็กๆและจอฉายขึ้นในโถงใหญ่ ภายใต้การดูแลของภัณฑารักษณ์ที่มาแนะบริเวณกิจกรรมเพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการทำงานศิลปะเสียหาย จนสุดท้ายได้วางขาตั้งวาดรูปสิบชิ้น พร้อมอุปกรณ์ เคียงข้าง อนุเสาวรีย์แด่ Emily Georgiana และ รูปแกะสลักของCharles Pelham ซึ่งทั้งคู่เป็นรูปปั้นหินอ่อนอายุกว่า 160ปี เราสองคนจึงต้องแบ่งหน้าที่กันดูแลเหล่าผู้คนและเหล่ารูปปั้นไปพร้อมๆกัน นอกจากนี้ในบางช่วงผมก็จะขึ้นยืนบนเวที ป่าวประกาศเชิญชวนคนให้เข้ามาร่วมสนุก ส่วนAlexaไปเป็นผู้รับผิดชอบการจัดคิวและพาผู้เข้าแข่งกันในแต่ละรอบประจำที่ ในบางรอบนอกจากสิ่งของในคอลเล็กชั่นแล้ว เรายังมี “นางแบบจำเป็น” คือพ่อแม่ผู้ปกครอง หรือเพื่อนๆ ของผู้แข่งขัน ที่อาสาสมัครขึ้นมาโพสท่าเคียงคู่สิ่งของ เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มได้อีกเยอะ


กิจกรรมนี้ถึงจะดูธรรมดาๆ แต่มีไอเดียจากหลักการที่ว่า การที่จะ”วาด”สิ่งของชิ้นหนึ่งนั้น จะต้องสังเกตสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างมีสมาธิ เป็นการทำความเข้าใจองค์ประกอบการออกแบบของวัตถุนั้นนั้นไปในตัว
(คำว่า Design มีรากศัพท์มาจากภาษาอิตาลี Disegno ซึ่งแปลว่า Drawing นั่นเอง)
ดังนั้นเวิร์คช็อปนี้จึงเป็นการแนะนำวัตถุในV&A แบบเข้าใจง่าย และเกริ่นให้หลายๆคนอยากไปค้นคว้าประวัติสิ่งของแต่ละชิ้นกันต่อในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งนี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายร้อยกลวิธีสร้างความสนุกที่ V&A นำมาใช้ในการดึงดูดผู้คนอยู่เสมอ
โดยสิบปีที่ผ่านมาทางพิพิธภัณฑ์ได้เริ่มโครงการพัฒนาที่ใช้งบกว่า150ล้านปอนด์เพื่อบูรณะของที่มีอยู่และจัดสร้างสวนสาธารณะ รวมไปถึงห้องจัดแสดงใหม่ๆ อาธิเช่น The Medieval & Renaissance Galleries และ The Furniture galleries นอกจากนี้ยังมีส่วนที่ค้นคว้าและวิจัยข้อมูลของวัตถุในพิพิธภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งหน่วยการศึกษาที่ประสานงานกับโรงเรียนต่างๆ จัดกิจกรรมทั้งในและนอกสถานที่ เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากคอลเล็คชั่นที่มีอยู่ได้อย่างสูงสุด เรียกได้ว่าแนวคิดของโบราณสถานแห่งนี้ไม่แก่ตามอายุซักนิดเดียว

ระหว่างทางกลับบ้าน ผมสังเกตเห็นป้ายผ้าขนาดยักษ์ใกล้ทางออก พิมพ์สโลแกนของเขาไว้ใหญ่โตว่า “พิพิธภัณฑ์ศิลปะและการออกแบบที่ดีที่สุดของโลก” (“The World’s Gratest Museum of Art and Design”) ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าใครที่ไหนเป็นกรรมการตัดสินมอบตำแหน่งดังกล่าวให้ตั้งแต่เมื่อไร…

ทั้งเก่าทั้งเก๋าขนาดนี้ ผมคงต้องยอมยกให้เขาโดยปริยาย


ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://vam.ac.uk/

*จัดลำดับโดย นิตยสาร complex magazine

Monday 9 December 2013

The Magic Bookshops : ต้องมนต์ (ร้าน) หนังสือ


หากพูดถึงตรอก Cecil Court ในลอนดอน หลายๆคนอาจจะไม่รู้จัก แต่ถ้าเป็นตรอกไดแอกอน (Diagon Alley)แล้ว คาดว่าสาวกแฮร์รี่ พอตเตอร์คงจะถึงบางอ้อแน่นอน
เพราะในนวนิยายพ่อมดน้อยได้พูดถึงทางเข้าลับสู่โลกเวทย์มนต์ ที่ตั้งอยู่หลังกำแพงอิฐของร้าน “หม้อใหญ่รั่ว” (Leaky Couldron) ในย่าน Charring Cross ใจกลางเมืองลอนดอน ซึ่งในความเป็นจริง แม้เราจะมองไม่เห็นร้าน “หม้อใหญ่รั่ว” (เขาบอกว่า เหล่าพ่อมด แม่มด เท่านั้นจึงจะมองเห็นร้านนี้) แต่ย่านCharring Crossก็ยังถือเป็นแหล่งดึงดูดเหล่าหนอนหนังสืออยู่ดี เนื่องจากในบริเวณนี้มีร้านหนังสือเก่าและใหม่กระจายอยู่เต็มพื้นที่ โดยเฉพาะในตรอกเล็กๆชื่อ Cecil Court  ซึ่งว่ากันว่าเป็นแรงบันดาลใจของตรอกไดแอกอนในวรรณกรรม แฮร์รี่ พอตเตอร์นั่นเอง

ถนนโบราณของตระกูลCecil ตั้งอยู่อย่างเงียบๆมาตั้งแต่กลางศตวรรษท่ี17 ในตรอกแคบๆห่างจากความชุลมุนวุ่นวายของโรงละครและห้างร้านใน Leister Square แค่ไม่กี่ย่างก้าว โดยในปัจจุบันตลอดสองข้างทางของซอยเล็กๆนี้อัดแน่นไปด้วยร้านหนังสือและสิ่งพิมพ์ รวมไปถึงของสะสมโบราณมากมาย จนทำให้รู้สึกเหมือนเป็นทางเชื่อมวิเศษที่พาเราย้อนเวลาไปในอดีต แถมสถาปัตยกรรมของแต่ละร้านได้ถูกอนุรักษ์ไว้ให้คงเดิมเหมือนเมื่อร้อยปีที่แล้ว ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบเข้ามาในตรอกนี้ และไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่ J K Rowling จะหยิบความรู้สึกนี้ไปต่อยอดจินตนาการในนวนิยายของเธอ

ร้านหนังสือแต่ละร้านในตรอกนี้ล้วนมีสินค้าและเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณเฉพาะตัว แต่สิ่งที่ทุกร้านมีเหมือนๆกันคือ การเริ่มต้นจากความรักและความชอบส่วนตัว โดยคุณ Peter Ellis เจ้าของร้านหนังสือในเคหะเลขที่18 เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “จำนวนร้านหนังสือในอังกฤษนั้นปิดตัวลงไปครึ่งหนึ่งอย่างน่าใจหายในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ร้านที่อยู่ได้ก็เพราะมีแนวทางเฉพาะของตัวเอง” คุณ Peter เองนั้น ซื้อและขาย หนังสือวรรณกรรมสมัยใหม่หายาก โดยเฉพาะเล่มจากการพิมพ์ครั้งแรก ซึ่งตัวเขาเองมักจะไปสืบเสาะค้นหาจากการประมูลบ้าง ร้านของเก่าบ้าง ไปจนถึงซื้อต่อจากห้องสมุดเก่าๆที่ปิดลงด้วย “สมัยนี้คนชอบหาของกันออนไลน์ อย่างบนเว็บ ebay แต่ส่วนมากการหาจะอยู่ในลักษณะของ Wishl List ซึ่งจะแสดงผลตาม keyword  แต่ในร้านหนังสือ คุณจะสามารถเลือกดูหนังสือที่เรียงกันเป็นตับ ซึ่งบางครั้งทำให้คุณได้เจอกับสิ่งใหม่ๆอย่างคาดไม่ถึง” เรียกได้ว่าร้านหนังสือโบราณเหล่านี้เปรียบเสมือนขุมสมบัติของนักอ่านก็คงไม่ผิดนัก เพราะขนาดหนังสือประวัติศาสตร์อย่าง “คนไทยในราชสำนักพระนางวิคตอเรีย” ซึ่งเป็นบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับคณะนักดนตรีไทยที่ถูกเชิญจากรัฐบาลอังกฤษให้ไปแสดงที่มหกรรมแสดงดนตรีนานาชาติที่ลอนดอน ในพ.ศ.2427 ถูกเขียนและพิมพ์ในสมัยรัชกาลที่5 ก็ยังจับพลัดจับผลูมาโพล่อยู่ในร้านหนังสือในตรอกนี้ให้ผู้พบเจอได้อึ้ง ทึ่ง เสียว ไปตามๆกัน

ติดกับร้านคุณPeter เป็นร้าน Watkins อันโด่งดังเนื่องจากเป็นร้านหนังสือเกี่ยวกับศาสนา ปรัชญา ไสยศาตร์เร้นลับ และ รหัสญาณ ที่เก่าแก่ที่สุดในลอนดอน วันดีคืนดีเดินเข้าไปก็จะมีคนทรงหรือนักทำนายไพ่มาเปิดบริการกันหน้าร้านเลยทีเดียว และถึงแม้บรรยากาศจะดูน่ากลัวไปนิดแต่พนักงานขายที่นี่ความรู้แน่นปึ๊กแถมอัธยาศัยดีมากๆ ใครที่สนใจแนวนห้ามพลาดเพราะเขาสต็อคตั้งแต่หนังสือวิเคราะห์พิธีกรรม ไปจนถึง หินคริสตัล ธูปเทียน และไพ่ทาโรห์นับพันสำรับให้เลือกซื้อตามอัธยาศัย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายร้านที่น่าสนใจ อย่าง Motor Books ที่ขายหนังสือเกี่ยวกับรถและเครื่องยนต์, David Drummond ที่ขายหนังสือเกี่ยวกับการละคร รวมไปถึงภาพนักแสดงตั้งแต่ยุควิคตอเรี่ยน, Travis & Emery ที่ขายหนังสือเกี่ยวกับดนตรี และชีทเพลงจากคลาสสิคยันโมเดิร์น โดยคนขายร้านนี้บอกผมว่า ถนนCecil Courtนั้นนอกจากจะโด่งดังเรื่องร้านหนังสือหายากแล้ว ที่นี่ยังเคยเป็นที่อยู่ของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ อาธิเช่น นักประพันธ์ชื่อดัง Wolfgang Mozart และ นักเขียนหนังสือเด็กและสายลับชื่อดังของอังกฤษ Arthur Ransome อีกด้วย

ส่วนร้านในดวงใจผม ต้องขอยกให้ The Marchplane เพราะนอกจากร้านนี้จะเปิดบริการในปีเดียวกับปีเกิดของผม (ปีไหนให้เดากันเอง) หนังสือที่เขาสต็อคในร้านล้วนเป็นวรรณกรรมเยาวชนคลาสิค โดยเฉพาะAlice In Wonderland ที่ทางร้านมีฉบับเวอร์ชั่นต่างๆกว่า500เล่มจากทั่วโลก ราคาทั้งแต่10ปอนด์ไปจนถึง5,000ปอนด์ ให้นักสะสมได้เลือกกันตาลาย และแม้ว่าบริเวณของร้านจะค่อนข้างแคบ แต่เจ้าของร้านก็ตกแต่งมันด้วยภาพประกอบหนังสือเด็ก หุ่นยนต์ และเถาวัลย์พันกันไปมา คละอยู่กับหนังสือสวยๆจากพื้นถึงเพดาน ทำให้แค่เดินเข้าร้านผมก็ยิ้มไม่หุบ และอดคิดไม่ได้ว่า เพราะมีร้านหนังสือสนุกๆที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและประวัติศาสตร์น่าพิศวงแบบนี้ ทำให้ลอนดอนเป็นจุดกำเนิดตัวละครมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Harry Potter, Sherlock Holmes, Peter Pan, Dr Jekyll และ Mr. Hyde, Sweeney Todd ไปจนถึง Bridget Jones… ซึ่งตัวละครเหล่านี้นอกจากจะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจอันมหาศาลแล้ว พวกเขายังคงจุดประกายจินตนาการและความฝัน ในหัวใจผู้อ่านทุกเพศ ทุกวัย ทุกรสนิยม ทั่วทุกมุมโลกอีกด้วย


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Cecil court และร้านหนังสือต่างๆได้ที่ http://www.cecilcourt.co.uk