Monday 31 December 2012

Chirstmas in London Time Lapse

Merry Christmas from one of the most beautiful city in the world! ปีนี้หิมะไม่ตกแต่ก็ยังมีสีสันของแสงไฟและผู้คนให้ชื่นใจ สุขสันต์วันคริสต์มาสจากลอนดอนครับ

Friday 26 October 2012

BIG DRAW DAY วันวาดรูปแห่งชาติ

ในขณะที่กลุ่มผู้เดินขบวนเริ่มรวมตัวกันอย่างหนาแน่นที่Tralfalgar square ผมกลับถือโอกาสหลบเข้า ย่านBloomsbury แทน เพราะนอกจากวันนี้(20 ตุลา 2012)จะเป็นวันที่ สหภาพแรงงานนัดกันออกมารวมพลเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาการตัดงบที่ไม่สมควรแล้ว...ในปีนี้มันยังเป็นวันรณรงค์การวาดรูปแห่งชาติ หรือ  BIG DRAW DAYที่British museumอีกด้วย !



ตลอดเดือนตุลาคมของทุกๆปี จะสังเกตุเห็นว่าหลากหลายสถาบันทั่วสหราชอณาจักร ต่างลุกขึ้นมาจัดกิจกรรมให้กับลูกเด็กเล็กแดงไปจนถึงพ่อแม่พี่ป้าน้าอา มาร่วมกัน"วาดรูป"...นี่เป็นเพราะมูลนิธิ Campaign for drawing ได้จัดแต่งตั้งเดือนนี้ให้เป็นเดือนเฉลิมฉลองการวาดเขียน  โดยมีศิลปินแห่งชาติอย่างQuentin Blakeเป็นตัวตั้งตัวตี เชิญชวนชาวอังกฤษมาจับดินสอปากกากันอย่างสนุกสนาน เพราะเขาเชื่อว่า  การวาดรูปนั้นนอกจากจะให้ความบันเทิงแล้วยังถือเป็นเครื่องมือสำคัญของพัฒนาการทางสังคม  เป็นพื้นฐานของการศึกษาหลายแขนง และเป็นประโยชน์แก่การดำเนินชีวิตของมนุษยชาติอย่างไม่มีขอบเขต  (ว่าไปนั่น)  ส่วนทางBritish Museumเองก็ตอบรับแนวคิดนี้และเป็นผู้จัดงานขาประจำทุกๆปีไม่มีเว้น  จนครั้งมาถึงปัจจุบันนับเป็นBIG DRAW DAYครั้งที่13แล้วแหละ

ในปีนี้เนื่องจากทางพิพิธภัณฑ์กำลังจัดแสดงนิทรรศการ "Shakespere staging the world" กิจกรรมbig drawจึงมาในธีมที่เกี่ยวกับshakespere  ซึ่งก็มีหลากหลายworkshopให้เราได้เลือกกันอย่างเมามันส์ อาธิเช่น   Drawing Shakespeare's Lines: ใช้บทประพันธ์ของShakespeareมาเชื่อมต่อเรื่องราวของโบราณวัตถุจากทั่วโลก,  Drawing Shakespeare's London :วาดรูปเมืองลอนดอนในสมัยของShakespeare ด้วยcollectionจากศตวรรษที่17, ไปจนถึงสร้างภาพจากเส้นระดับสายตาแบบอียิตป์ โดยอาศัยแรงบันดาลใจจากศิลปะในพิพิธภัณธ์และบทละครเรื่องAntony and Cleopatra , และอื่นๆอีกมากมายจนเลือกไม่ถูก! สุดท้ายผมก็ไปลงเอยที่workshop Drawing techniques from Shakespeare's time เพราะดูน่าจะเอามาประยุกต์ใช้กับสายอาชีพได้มากสุด...


ประชากรส่วนมากในworkshopไม่ใช่เด็กวัยกระเตาะ แต่กลับเป็นสาวๆรุ่นใหญ่ บ้างเป็นศิลปินเต็มตัว บ้างก็วาดรูปเป็นงานอดิเรก รวมไปถึงครูผู้สอน ชื่อ Philippa Abrahamsที่แม้จะทำตัวเรียบง่ายแบบบ้านๆ แต่เธอเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด้านการบูรณะศิลปะโบราณที่มีความรู้โชคโชนมากๆ  เธอเริ่มเปิดหัวข้อการปฏิบัติการด้วยการบรรยายสั้นๆ จับใจความได้ว่า "การวาดรูปเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งอย่าง โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่17, นักเดินทางทั้งหลายต่างต้องบันทึกสิ่งที่พวกเขาได้เห็นได้เจอในต่างแดนด้วย การวาดรูป  และจากรูปวาดเหล่านั้นศิลปินและ นักประพันธ์อย่างShakespeareจึงสามารถสร้างศิลปะและละครซึ่งบอกเล่าถึงดินแดนใหม่ๆ เป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กับผู้คนในสังคมต่อไป"


Philippaบอก ว่าอุปกรณ์วาดเขียนที่พกพาได้ถือเป็นสิ่งสำคัญมากๆ พวกเขายังไม่มีดินสอ(กว่าจะมีดินสอแบบทุกวันนี้ก็ช่วงปลายศตวรรษที่18โน้น) สิ่งที่นิยมเอามาใช้วาดเขียนในยุคนั้นจึงเป็นแผ่นบอร์ดเคลือบเจสโซ(Gesso) ซึ่งเป็นวัสดุผสมมีเชื้อกาว,กระดูกบดและสี สามารถใช้ของที่มีหัวเป็นเงิน(silver point)วาดแล้วลบออกได้ด้วยน้ำลาย ,หนังสัตว์อบแห้ง(Vellum and Parchment)ที่จะให้ดีต้องเป็นหนังลูกวัวโดนแท้ง,แท่งถ่านอมน้ำมัน, ปากกาขนนกQuill(ส่วนมากเป็นห่าน)ที่ต้องเอาเข้าเตาอบแล้วเอามาเหลาเพื่อให้แกนของมันแข็งพอซึมซัมหมึก ...แต่ละอย่างแค่ฟังผมก็เหนื่อยแล้ว  แต่ Philipa  ยังใจดีให้ผู้เข้าร่วมworkshopได้ลงมือใช้techniqueเหล่านี้กันด้วยตัวต่อตัว! ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือทุกคนมุ่งไปทำปากกาขนนกของตัวเองกันหมด แต่ปรากฏว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด กว่าจะเหลาปลายปากกากันได้ก็ยอมแพ้กันไปหลายคน


อีกเทคนิคที่น่าสนใจก็คือ Cartooning หรือการลอกแบบเวลาทำรูปเหมือนของบุคคลสำคัญต่างๆ อาธิเช่นพระราชินีอลิซาเบธที่หนึ่งก็จะมีรูป"พิมพ์นิยม"ที่ทรงสั่งให้ศิลปินหลวงวาดขึ้นมา แล้วทำการเจาะรูตรงลายเส้น เพื่อที่เวลาประชาชนคนอื่นๆต้องการจะตีพิมพ์รูปเหมือนของท่านนั้น สามารถนำเอาตัวแบบหรือcartoonนี้ไปฝนผงถ่าน แล้วก็ต่อจุดวาดตาม เพื่อให้รูปที่ออกมาในทุกๆสื่อมีลักษณะที่เหมือนๆกัน นอกจากราชวงศ์แล้ว นักการเมือง หรือคนชั้นสูง รวมไปถึงศิลปินที่มีชื่อเสียงอย่างShakespeareเอง ก็มีภาพแบบcartoonเหมือนกัน สงสัยว่าราชวงศ์ไทยในสัมยนั้นจะมีภาพต้นแบบอยางนี้รึเปล่านะ?
(เทคนิคนี้ถูกนำมาใช้เวลาออกแบบลวยลายปักผ้าที่วิจิตร ละเอียดยิบในสมัยนั้นเช่นกันจ้า)
ในช่วงท้ายของงาน ผมได้มีโอกาสคุยกับPhilipaเป็นการส่วนตัว เพราะสนใจเรื่องการวาดหมึกลงหนังสัตว์เป็นพิเศษ ผมเล่าให้เธอฟังถึงเรื่องหนังตะลุงของบ้านเรา ซึ่งเราทั้งสองคนเห็นพ้องต้องกันว่าคนสมัยโบราณที่คิดเทคนิคเหล่านี้ช่างอัจฉริยะมากๆ และน่าสนใจที่"ศิลปะ"กับ"ความเชื่อ" มักจะผสมกลมกลืนกัน อย่างในกระบวนการทำหนังตะลุงที่เชื่อว่า หนังที่จะนำมาทำตัวนาง จะต้องเป็นวัวเพศเมียบริสุทธิ์ หรือตัวฤาษีจะต้องเป็นหนังควายแก่เท่านั้น ฯลฯ คุยไปคุยมาถูกคอ เธอก็ยื่นแผ่นParchmentของเธอมาให้ลองวาด โดยใช้หมึกsepia ซึ่งจะลอยอยู่ด้านบนของหนังอย่างสวยงาม "มันเป็นเทคนิคที่พิเศษมาก" Philipaบอก พร้อมกำชับว่าอย่าไปโชว์ให้คนอื่นๆดู "หนังมันแพงมากๆนะ ฮาๆ" ทำเอาผมอมยิ้มไปจนจบworkshopเลยทีเดียว

ตอนขากลับผมเดินผ่านThe Great Hallหรือห้องโถงใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ของBritish Museum แอบเห็นกลุ่มคนจำนวนมาก มามุงล้อมดูอะไรกัน จนตอนแรกนึกว่าเหล่าผู้ประท้วงได้เดินทางมาถึงเสียแล้ว! แต่ที่จริงเป็็นผู้คนที่อยากมาร่วมกิจกรรมวาดรูปเช็คเสปียร์กันต่างหาก โดยมีคุณลุงนักแสดงแต่งตัวเป็นเช็คเสปียร์มานั่งเป็นแบบให้ตรงกลาง ล้อมรอบไปด้วยรูปวาดขนาดใหญ่และผู้เยี่ยมชมมากมายที่ทั้งสนุกกับกิจกรรมและได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ความสำคัญของบุคคลและเหตุการณ์ในอังกฤษจากสมัยก่อน มาเชื่อมโยงให้เข้ากับความเป็นไปของเราในปัจจุบัน เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนๆ คนในครอบครัว ไปจนถึงสร้างมิตรภาพใหม่ๆในสถานที่แห่งนี้..

ขณะที่มองเห็นรอยยิ้มของผู้คนรอบข้าง ในใจก็นึกไปว่าอยากให้พวกรัฐบาลที่ตัดงบศิลปะและการศึกษามาร่วมworkshopนี้ด้วยจัง

Saturday 20 October 2012

Lost Property


The first time I lost my passport was at a dirty pub called Macbeth. 
"Manflu" was playing. A punk band fronted by Aza Shade, a fellow csm student,  beautiful girl from Kazakhstan with purple hair and a racous voice to blow your socks off. A younger funkier version Karen O, if you will.
While their guitar and drums burst out the heavy tunes, I couldn't stop my body from dancing and jumping all over the tiny, crowed dance floor. That moment was euphoric. But what was soon to follow was more like a great panic when, as I was leaving the place as drunk as a monkey, I realised my passport was missing from my jacket pocket. Yes, you may wonder "Why would anyone in his right mind carry around his passport to a gig?"  Well, firstly I was young and foolish. Secondly, I got told off before by bouncers for not having proper ID. From that night though, I have learnt that not getting in to a club is a lot better than to risk losing a passport. 

So there I was, at Hoxton police station the next day, telling the Police Officer "I must have dropped it somewhere.." He didn't really respond, just shook his head and gave me the police report with his scribbles on it.

It wasn't until the second time though, that I really recognised that buzzing feeling before losing my precious something.
I guess it sounds silly but my mind just knew it was going to happen. Precisely at 18:05, I got on the no.23 bus with heavy grocery bags, in them were all the asian goodies ready to be cooked for my dinner party that night. I was excited, exhausted and buzzing at the same time. I then started to feel anxious, knowing that I've gone over my body limit and my consciousness wasn't really quite there. I even tapped my pockets to check if I had everything...and although it was there at that moment, a few minutes later as I got off the bus i realised my wallet continued it's journey with the no.23. Desperately running after that bus, with 5kg of rice along with the ingredients for a perfect green curry for four, my mind kept retracing the possible moment my wallet left me. Amazing how it only takes a split second to lose something I hold so dear. Then there it was, that emptiness in my stomach; not from hunger, but from realising how flaky life really is. Later I managed to hop on the next no.23, explaining how I dropped my wallet on the bus infront, and the driver was kind enough to let me tag along to their last stop; the bus garage in clapham. Finally, at 10pm, I caught up with the no.23 in the garage, but this time it was empty. No people. No wallet. The driver offered me a cigarette. He suggested calling the TFL Lost and Found office the next day. I instead called my banks and cancelled all my cards. 2 weeks later the TFL was the one contacting me. I went to pick up my wallet at their Lost and Found office at baker street. Although it was a lot thinner with all my cash missing; all the cards were there and my good old wallet was again back in my life.

Since then I have become very wary of that buzzy feeling. Every now and then when I start to feel like I've done too much, going over my physical and mental limit, I would tell myself to stop, cancel those meetings, call in sick and let the world go by without me for a day or two. Meanwhile I would hold on to my belongings very closely and double check that everything  is where it is supposed to be. People say I'm crazy, but those who are close to me would understand. One has to listen to one's instinct - no explanation needed.

So on that Thursday night, at the buzzing opening party inside a small gallery in soho, I was particularly nervous. After a long day at school, I knew I was pushing my limit and, sure enough, the familiar feeling was there again. It sent warning signs all over my body but somehow I chose to ignore it. I put my coat in the cloakroom, thinking to myself "there's no turning back now". 

My instinct was proven right.
Someone in the crowd approached me, asking what I was drinking. 
We started to talk and before I knew it, my most precious belonging was lost.

My heart was stolen, and was never to return.

Saturday 6 October 2012

#Fashion:Jumpsuit affair

JUMPSUIT AFFAIR:

 
(painting by Katie Comodore)
 
 Anyone who knows me would know that I LOVE JUMPSUITS.
For me it's the perfect combination of style and comfort....also it's that 80s appeal, shoulderpad, taliored cut, smartwear that I would find in my mum waldrobe when I was a child. 
Mind you she was(and still is) quite a fashionista in those day. Although we're not rich but she always dress to impress! I guess it's the entertainment business we're in...but ayway, it's obvious that passion for fashion can be passed on in the family!

(Photo by Linda Cooper)
From Exhibition openings to dancing on the floors, these outfits are statement piece..and also allow you to move quite freely!  On a sunny day(not we have that many in England...), it can be quite relaxing look too....well, kind of.

Jumpsuits/Onesies/Bodysuits (what ever u fancy to call them) of mine are usually from the Vintage shop, like Rockit, Beyond  Retro, or The Blitz in Brick lane...but thanks to Jessie J, now the one piece look has been back on the mainstream fashion scene again..so while it's more difficult to find the second hand one with reasonable price (as they're gone so quick), you get some funky designers coming up with nice new jumpsuits as well! Like this one from Religion. AMAZING.
(photo by Jesus Madrinan)
One down point is that, like any other statement piece, people DO remember you wearing them...so I have to quite careful not to wear the same jumpsuit to the same crowd too often....also it's quite 'in you face' so some crowd wont really know how to react to it...
I wore a couple of these in Bangkok on a few party occassions. Although attention on the dancefloor was fun, but being stared all the way to the party and going home by basically every human being in the city wasnt very fun to be honest.

oh well, GOOD OLD LONDON!

Sunday 23 September 2012

Memory ; สิ่งที่คงอยู่

  
ท่ามกลางแสงแดดหลงฤดูที่ส่องผ่านทิวไม้ตอนบ่ายแก่ๆ ผมกับคุณพลอย คณิตา มีชูบท ก้าวเดินกันอย่างเงียบๆ ในโซนตะวันตกของ Highgate Cemetery 
  
สุสานแห่งนี้เปิดบริการตั้งแต่ปี1893 มาจนถึงปัจจุบัน เป็นที่นอนหลับชั่วนิรันดร์ของผู้คนหลายพันคน รวมทั้งเหล่าผู้มีชื่อเสียง อาธิ  นักปรัชญา Karl Marx, เจ้าพ่อวัฒนธรรมพังค์ Malcolm McLaren และ ศิลปิน Anna Mahler  โดยหลุมศพทั้งใหม่และเก่าต่างมีดีไซน์และคำจารึกบนหลุม ซึ่งบ่งบอกถึงตัวตนของผู้ที่ถูกฝังไว้อย่างชัดเจนและน่าสนใจ: บางหลุมเป็นหินสลักรูปทางศาสนา มีไม้กางเขนหรือเทวดา, บางหลุมเป็นฮวงซุ้ยแบบจีน, บางหลุมเป็นแท่งหินอ่อนสีดำเรียบๆ ประหนึี่งงานรูปปั้นศิลปะร่วมสมัยใน Tate Modern…

“ถ้าตายไป…หลุมศพของเราจะเป็นยังไงนะ?” คุณพลอยถามขึ้น 
เป็นคำถามที่เราคงไม่ได้ถามกันบ่อยๆ แต่ผมว่ามันน่าสนใจดี...
เพราะคนในปัจจุบัน มักหลีกเลี่ยงที่จะพูด(และคิด)ถึง “ความตาย” ด้วยวิถีความเป็นอยู่สมัยใหม่ที่รวดเร็ว ฟุ้งเฟ้อ ชีวิตจึงกลายเป็นเหมือนนิทาน และความตายก็กลายเป็นสิ่งไกลตัว…พึงรังเกียจ
น้อยคนนักที่จะตั้งคำถามว่า เมื่อเรา หรือคนที่เรารัก เดินทางมาถึงบทสุดท้าย (ที่ไม่มี happily forever after) เราจะรับมือกับมันอย่างไร? เราจะทิ้งอะไรไว้เบื้องหลังเราได้บ้าง?

ผมกับคุณพลอยเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียน สาขา MA Communication Design มหาวิทยาลัย Central Saint Martins เป็นคณะที่บังเอิญมีคนไทยอยู่กันแค่สองคนทั้งชั้น เราจึงสนิทกันเป็นพิเศษ
ในช่วงแรกๆ เนื่องจากภาษาอังกฤษที่ยังไม่แข็งแรงนักของเธอ ผมเลยต้องเป็นล่าม แปลและอธิบายงานของเธอให้อาจารย์และเพื่อนๆฟังเสมอ โดยเธอนั้นมีความสนใจเรื่อง ความทรงจำ (memory) ต้นไม้ (trees) และเทพนิยาย (fairy tales) แต่สิ่งเหล่านี้ถูกเชื่อมโยงกันด้วยอะไรและทำไมนั้น กลับเป็นคำถามที่ยากจะตอบสำหรับเธอ…
จนเวลาผ่านไปร่วมปี อาศัยการซักถาม(และกดดัน)จากอาจารย์ที่ปรึกษา บวกกับความกล้าหาญที่สูงได้ที่  เธอจึงเริ่มเล่าถึงเรื่องของคุณย่าที่เสียไปเมื่อหลายปีก่อนด้วยโรคมะเร็ง “ความรักที่คุณปู่มีให้ต่อคุณย่าตลอดช่วงเวลาที่ท่านเริ่มป่วยจนสิ้นใจ เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานของดิฉัน” คุณพลอยกล่าวในห้องเรียนพร้อมน้ำตาที่ปริมออกมาเล็กน้อย “ดิฉันอยากจะเล่าเรื่องความรักของพวกเขา ที่ยังคงสวยงามแม้ในเวลาอันสิ้นหวังของชีวิต”
นับแต่วันนั้น เธอเริ่มสร้างชุดผลงานชื่อ “A Garden of Illuminating Existence” เป็นภาพตัดแปะ(collage) ที่ใช้สิ่งพิมพ์สมัยวิคตอเรี่ยน, รูปวาดทางการแพทย์และต้นไม้นานาชนิด, ดอกไม้แห้ง ไปจนถึง รูปภาพเก่าๆของคุณปู่และคุณย่า สร้างออกมาเป็น ทิวทัศน์ภายใน(internal landscape) ที่ซึ่งรูปทรงของพรรณไม้ ขนานไปกับลักษณะทางกายภาพในร่างกายมนุษย์ เซลส์ต่างๆกลายมาเป็นดอกไม้สีสด ท่ามกลางรูปถ่ายและรูปวาดที่ถูกกรีดตัด เป็นลายธรรมชาติละเอียดอ่อน เรียงซ้อนกันอย่างมีมิติ กลายเป็นเสมือนป่าในเทพนิยายอิงชีววิทยา มีตัวละครต่างๆเล่าเรื่องราวการต่อสู้ที่เจ็บปวดกับเนื้อร้าย และความเหนื่อยล้าทั้งใจกายของคนรอบข้าง แต่ละชิ้นทวีความสาหัสขึ้นเรื่อยๆ จนถึงชิ้นที่ชื่อ “Six feet under” ภาพสูงใหญ่กว่าสองเมตร สื่อถึงการยอมแพ้ต่อโรคร้ายของคุณย่าของเธอ “แม้จะเป็นเรื่องในอดีต ก็ยังเป็นเรื่องยากมากที่จะนำมาพูดถึง…ยิ่งเวลาเอารูปคุณย่ามาตัดแปะไปด้วยยิ่งลำบากใจ” คุณพลอยเล่า
“แต่ตอนที่ทำ ก็รู้สึกเหมือนเป็นการบำบัดแบบหนึ่ง ทำให้เราได้มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในมุมมองใหม่และเข้าใจมันมากขึ้น เข้าใจว่าความตายเป็นธรรมชาติ และความตระหนักรับรู้ถึงการมีอยู่มัน สิ่งนี้เป็นแรงกระตุ้นให้ทำงาน ทำส่ิงที่อยากทำในแต่ละวัน เพื่อที่ว่า หากเราไม่ตื่นในวันพรุ่งนี้ ก็จะไม่เสียดายหรือเสียใจ”

ต่อมาไม่นานคุณพลอยก็จบการศึกษาปริิณญาโทด้วยคะแนนที่สูงเป็นอันดับต้นๆของคณะ ผลงานของเธอได้รับความสนใจอย่างมาก และได้ตีพิมพ์รวมเล่มเคียงข้างนักเขียนชื่อดังอย่าง Stephen King และ Will Self ใน Granta หนังสือวรสารชื่อดังจากCambridge วางขายไปทั่วอังกฤษและอเมริกา
โดยมีการจัดงานสัมนาและนิทรรศการเปิดตัวหนังสือเล่มนั้นที่ private club สุดหรูแหงหนึ่งในโซโห บนเวทีวันนั้นมี Michael Salu ผู้กำกับศิลป์และบรรณาธิการจากสำนักพิมพ์, หนึ่งในสองพี่น้อง Chapman Brothers ศิลปินสุดห่ามที่พึ่งจัดงานนิทรรศการใน Whitechapel gallery, และ คุณ พลอย ที่ใส่ชุดสูทสีครีมเรียบๆ นั่งตอบคำถามและอธิบายผลงานของตัวเองต่อหน้าผู้ฟังนับร้อย

“ดิฉันเห็นว่า ชีวิตคนเรามีความสวยงามอยู่ในทุกเวลา แม้กระทั่งเวลาที่มืดมนที่สุด”

ทำให้ผมที่นั่งดูอยู่อดปลื้มใจไมได้
ปลื้มในความซื่อสัตย์ต่อตัวเองของศิลปินไทยคนหนึ่ง ที่กล้าจะถ่ายทอดเรื่องราวส่วนตัวออกมาจากใจจริง
ถึงมันจะเป็นความทรงจำที่หดหู่ แต่ผลสุดท้ายสิ่งนั้นกลับเป็นอารมณ์ที่ทุกคนเข้าถึงได้
ถึงคุณย่าของเธอจะเสียไปนานแล้ว แต่เรื่องราวทั้งทุกข์และสุขของคุณย่าก็ยังคงอยู่ในความทรงจำ รวมถึงความตายของท่าน ที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตให้กับเธอ สิ่งเหล่านี้่ถูกถ่ายทอดจากหััวใจสู่แผ่นกระดาษ ทำให้ผลงานชุดนี้ เป็นทั้งการปลดปล่อยและเยียวยา ให้กับคุณพลอยและคนอื่นๆ ที่มีประสบการณ์คล้ายกัน
และถึงแม้ภาษาอังกฤษของเธออาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ทุกๆภาพถูกอันแน่ไปด้วยความจริงใจ ความรัก และ ความอาวรณ์ต่อชีวิต งานของเธอสามารถเป็นที่เข้าใจได้โดยไม่จำเป็นต้องถูกแปลเป็นภาษาใดๆ…

เพราะสุดท้ายแล้วมนุษย์ทุกๆคน ไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน พูดภาษาอะไร เมื่อตายไปแล้ว ต่างไม่สามารถเหลืออะไรไว้บนโลกนี้ ได้นอกจากหินบนหลุมศพ และความทรงจำในหัวใจของคนที่รักเรา เท่านั้นเอง

 

Thursday 13 September 2012

#Concert: Lady Gaga Born This Way Ball Live at Twickenham staduim ; อุดมการณ์กาก้า กับ การขยายพื้นที่ชายขอบสู่mainstream

--> 
คงไม่มีประโยชน์หากผมจะใช้พื้นที่สิบย่อหน้าสาธยายอิทธิพลของ "สเตฟานี โจแอนน์ แอนเจลินา เจอร์มาน็อตตา" หรือ "เลดี้ กาก้า" ต่อวัฒนธรรมและระบบสังคมนิยมในปัจจุบัน (ผมมั่นใจว่าผู้อ่านคงรู้จักเลดี้กาก้าไม่มากก็น้อยจึงสนใจบทความชิ้นนี้) ตัวผมเองนอกจากจะเป็นแฟนเพลงของเธอแล้วผมยังสนใจบทบาททางสังคมของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “ซุปเปอร์สตาร์” คนนี้อย่างมาก ประทับใจตั้งแต่ตอนเธอกล่าวสุนทรพจน์วันNational Rally for Gay Rightsที่หน้าทำเนียบขาวตอนปี2009, การก่อตั้งมูลนิธิ Born This Way, ตามอ่านtweet (ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้เล่นtweeter)  ขนาดที่เคยเขียนถึงเธอในวิทยานิพนธ์ว่าด้วยความเกี่ยวโยงของคุณลักษณะในศิลปะการแสดงสด(performance art)และการรักษาด้วยพิธีกรรม(healing rituals)เมื่อครั้นยังเป็นนักศึกษาปริญญาโทโน้น…

ดังนั้นไม่ต้องบอกก็คงเดากันได้ว่า เมื่อครั้น Born This Way Ball ประกาศฤกษ์มาแพร่พันธุ์ที่ฝั่งยุโรปแล้วไซร้ ผมจึงเป็นหนึ่งในผู้คนหลายหมื่นที่รีบจองตั๋วเจ็ดเดือนล่วงหน้าอย่างตาลีตาเหลือกไปโดยปริยาย
ด้วยเหตุที่ว่า ถึงแม้อัลบั้มนี้จะหวือหวาสู้ Fame:Monsterไม่ได้ เพลงไม่ติดหู เอ็มวีเวิ้นเวอะเยอะแยะ แถมท่าเต้นก็แสนยากจนเต้นตามไม่ค่อยทัน…แต่ลึกๆแล้วผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็น “Little Monster” อยู่ไม่มากก็น้อย…

ขอบอกว่าในวันคอนเสิร์ตผมได้เจอกับอะไรหลายๆอย่างที่ไม่คาดคิด

เริ่มจากที่ตั๋ว ด้วยความที่ฝากเพื่อนจอง แทนที่จะเป็นตั๋วยืนโยกเบียดเสียดกับชาวประชาตามอารมณ์มหรสพขนาดใหญ่…กลับเป็นตั๋วนั่ง(!!?!?) เพราะคุณเพื่อนหวังดีกลัวว่าถ้าไปยืนอาจจะมองเห็นMother Monsterไม่ได้ชัดเจน “ถ้าไปได้ยืนหลังคนตัวสูงเดี๊ยวเธอจะไม่สนุกนะ”…เอ่อ นี่มันคอนเสิร์ตหรือบัลเลต์ครับที่รัก?! คือเธอกะจะไม่ให้ฉันได้โยกย้ายตามจังหวะบ้างเลยรึ?! ด้วยเหตุนี้ทำให้นอกจากจะไม่ได้คลุกวงในกับเหล่าเด็กเอาะๆ ผมยังได้มานั่งอยู่ในชั้นสองของTwickenham Staduim ล้อมรอบไปด้วยพ่อแม่ผู้ปกครอง คนสูงอายุที่ยืนไม่ไหว และแฟนๆ”ชนชั้นสามัญ”ของกาก้า… กล่าวคือ เป็นปทุชนคนทั่วไปที่ร้องเพลงกาก้าได้สองเพลงครึ่ง (Just Dance, Poker Face กับครึ่งนึงของ Bad Romance) แบบไม่ได้อินอะไรมาก ซื้อตั๋วมาดูตามกระแส วันจันทร์จะได้กลับไปโม้กับเพื่อนๆได้ว่า “เธอ เมื่อวันก่อนฉันไปดูคอนเสิร์ตเลดี้กาก้ามาแหละ แรงส์ป๊ะละ?”…นอกจากนี้ ในขณะที่กลุ่มคนดูฮาร์ตคอร์(สังเกตได้จากในmonsterpit)ล้วนตั้งใจขุดซากวัตถุดิบและอุปกรณ์มาสรรค์สร้างเสื้อผ้าหน้าผมให้ดูอลังการณ์ประหนึ่งว่า เป็นหางเครื่องของกาก้าซะเอง…ส่วนการแต่งตัวของคนดูในชนชั้นสามัญรอบๆตัวผมนั้น ไม่สามารถบอกได้ว่าพวกเขาแต่งตัวมาดูโชว์หรือยังอยู่ชุดทำงานจากออฟฟิศกันแน่! อย่างไรก็ตามผมก็ยังจัดเต็มเป็นกำลังใจให้กับกาก้าแบบไม่ย่อท้อ พลางคิดในใจว่า “แต่งคนเดียว เต้นคนเดียว ตูก็มันส์ได้ฟระ”…
  
-->
เวลาประมาณสองทุ่มครึ่ง กาก้าขี่ม้ายูนิคอร์นสีดำขึ้นเวทีมาในชุดออกแบบโดย จอร์จิโอ อาร์มานี ร้องเพลง Highway Unicorn เป็นการประกาศเริ่มคอนเสิร์ตอย่างเป็นทางการ...

ปรากฏว่าพอเอาเข้าจริงเหล่าคนดูตั๋วนั่งก็ยืนบ้างโยกบ้างอยู่เหมือนกัน ทำผมอุ่นใจขึ้นมานิด แต่ที่ทำให้ใจหายก็คือแม้คอนเสิร์ตจะถูกประกาศว่า “sold out” แต่พื้นที่บริเวณตั๋วยืนกลับเหลืออยู่เกือบครึ่ง! นี่อาจจะเป็นเพราะระบบปล่อยตั๋วที่ไม่มีประสิทธิภาพ หรืออาจเป็นเพราะคนที่ซื้อตั๋วBallรอบนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการ”เข้าใกล้”กาก้าขนาดนั้น?...

-->
ตลอดสองชั่วโมงกว่าๆ ผมรู้สึกว่าเลดี้กาก้าสื่อสารกับคนดูแบบ”สองมาตรฐาน” 
กล่าวคือ เธอไม่ค่อยสนใจคนตั๋วนั่งรอบนอก แต่กลับให้ความสำคัญกับเด็กๆในmonster pit ของเธอเสียมากกว่า “its like 1976 out here!” เธอพูดชมแฟนเพลงที่แต่งตัวธีม ร็อค แอนด์ โรล อยู่รอบเวที แต่ในความเป็นจริงคนเกินครึ่งแทบไม่ได้แต่ตัวอะไรเลย ยิ่งรอบตัวผมแอบดูเหมือน1998ด้วยซ้ำ เพราะมีแต่ เสื้อยืดกางเกงแสล็คทั้งนั้น แต่Mother Monsterคงมองไม่เห็น ชีมัวแต่เลือกคนนั้นคนนี้ให้ไปหลังเวทีกับเธอ บ้างก็หยิบสมุดภาพที่แฟนๆทำให้ขึ้นมาเปิดดู แถมเอาเสื้อ ART POP (ชื่อแนวอัลบั้มใหม่)ที่แฟนเย็บให้มาใส่ ทำเอาคนหน้าเวทีกรี๊ดกันเป็นบ้าเป็นหลัง ต่อมาซักพักเธอเริ่มเรียกคนดูให้ขึ้นไปแจมบนเวที เริ่มจากเด็กน้อยผมสีม่วงที่กาก้าบอกว่า “ฉันจำเธอได้ เธอคนนี้ไปนอนอยูหน้าโรงแรมชั้นเป็นอาทิตย์!” เด็กสาวกอดศิลปินน้ำตาไหลเป็นภาพสุดประทับใจของค่ำคืนนั้น เธอได้นั่งข้างกาก้าขณะที่เล่นเพลงใหม่ “Princess D.I.E.” อุทิศให้กับเลดี้ไดอาน่าและเอมี่ ไวน์เฮาส์ นอกจากนี้ยังเล่นเพลง “Imagine” ของ จอห์น เลนนอน เป็นเสมือนการคืนชีพอุดมคติเพื่ออิสระและแนวคิดฮิปปี้ให้กับยุคสมัยนี้อีกครั้ง

หลังจากเพลง Schiße กาก้าบอกลาผู้คนว่านี่เป็นเพลงสุดท้าย ในใจผมนึกอยู่แล้วว่าเธอต้องมีEncoreต่ออีกซักสองเพลงและผู้คนคงจะอยู่จนจบ แต่ปรากฏว่าพอมองไปรอบๆ คนนั้นหายไปเกือบครึ่งแล้ว! (แอบได้ยินคนข้างๆบ่นว่า “aw it’s a shame she didn’t sing poker face”) และถึงแม้ตอนที่เธอโผล่มาเล่นเพลง Edge Of Glory และ Mary The Night ผู้คนก็ยังคงเดินออกจากสเตเดีียมกันเป็นแถว! ไม่ทราบว่าอยากจะรีบไปเพราะจะได้เดินทางสะดวก หรือว่าขี้เกียจอยู่ หรือว่าจะเป็นเหตุผลอื่นๆเกินจินตนาการ แต่ผมเองแอบเสียใจอยู่คนเดียว เพราะนอกจากจะเป็นการไม่ให้เกียรติศิลปินแล้ว คนเหล่านี้ยังทำลายบรรยากาศของงานสำหรับคนที่เหลืออีกด้วย…

พูดกันตามตรงจะเห็นได้ว่า กระแสของกาก้าตกลงอย่างมากในอัลบั้มใหม่นี้ (นอกจากซิลเกิ้ลเปิดตัวแล้ว ไม่มีซิงเกิ้ลไหนในBTWติดอันดับชาร์ตที่น่าพอใจซักเพลง) หนึ่งในปัจจัยอาจจะเป็นเพราะความคาดหวังของแฟนๆที่สูงทะลุฟ้า แต่อีกปัจจัยสำคัญนั้นคงหนีไม่พ้น ‘The Fame’ หรือ “ความดัง” ของตัวกาก้าเอง เพราะเมื่อเธอกลายเป็น iconแล้ว ทำให้ชื่อของเธอเกลื่อนกลาดอยู่ในประชาชนคนหมู่มาก คนเหล่านี้ชอบเธอแต่ไม่ไดทำความเข้าใจเลยว่า ผลงานของLady gagaนั้นไม่ได้อยู่แค่ชุดแฟชั่นที่อลังการหรือบทเพลงสนุกสนาน แต่เป็นเพราะอุดมการณ์ของเธอที่บอกความชัดเจนในการเป็น “คนชายขอบ” เป็นคนส่วนน้อย เป็นgay เป็นgeek เด็กหลังห้องที่สู้กับอำนาจmainstreamด้วยความมั่นใจในตัวเอง เกิดเป็นนิยามของแฟนพันธุ์แท้หรือ Little Monsters ที่ทำตามต้นแบบแนวคิดแบบ Born This Way ของเธอ...แต่ในวันนั้นคนมี่ซื้อบัตรมาดูหมู่มากดูเหมือนจะไม่ได้เชื่อในอุดมการณ์เหล่านี้ด้วยซ้ำ  พวกเขาคุยกันเสียงดัง นั่งบ้างยืนบ้าง เดินออกไปขณะที่เธอกำลังร้องเพลง แถมมีตอนหนึ่งในคอนเสิร์ตที่กล้องถ่ายไปยังเหล่าLittle Monterหน้าเวที ร้องไห้หน้าบูดบี้อินไปกลับเพลง คนที่นั่งอยู่ในสเตเดียมกลับหัวเราะหือขึ้นมา จนผมอดรู้สึกไม่ไดว่า การหัวเราะเยาะคนอื่นในคอนเสิร์ตของกาก้า ดูเป็นพฤติกรรมผันผวนทางตรรกะยังไงชอบกลไหม?


สรุปว่า ถ้าเกิดซื้อตั๋วยืนปรกติก็คงสนุกเต้นตีนแตกตามปกติ แต่ด้วยความที่ซื้อตั๋วนั่ง ทำให้เห็นบรรยากาศโดยรวมของBallคืนนั้น ที่แสดงถึงความกระอักกระอวนในการ”ขยายพื้นที่ชายขอบ”ของกาก้าและเหล่า Little Monster

ด้วยเหตุที่ว่า ตอนนี้ “Lady Gaga” ได้กลายมาเป็นยี่ห้ออันโก้เก๋ แต่คนที่ส่วมใส่ยี่ห้อนั้นมีไม่มากนักที่เข้าใจมันอย่างแท้จริง (เกิดเป็นปัญหาโลกแตกของความ cool ที่หากสามารถถูกเข้าถึงได้โดยคนหมู่มาก มันจะยัง cool อยู่หรือไม่?) ในขณะที่จำนวนผู้ติดตามของเธอเพิ่มขึ้นเป็นล้านๆ 
อุดมการณ์ของเธอก็เริ่มจะดูสำคัญน้อยลงๆ เหมือนถูกกดทับไปภายใต้ภาพลักษณ์ทางการตลาดของของเธอแทน แน่นอนว่าบางคนก็ซื้อตั๋วมาเพื่อดูดนตรี ดูโชว์ แค่มาเอาความสนุกบันเทิงกับนักดนตรีที่มีพรสวรรค์ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร….
แต่กาก้าเองควรจะเริ่มคิดหรือไม่ ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในอณาจักรG.O.A.T.ของเธอ? เมื่อเธอเป็นศิลปินตลาดอย่างเต็มตัว การแสดงอุดมการณ์ของเธอจะสามารถเป็นแรงขับเคลื่อนทางสังคมอย่างที่เธอต้องการได้ไหม? ในวันที่ผู้ชมคนซื้อตั๋วมาดู ไม่ได้แคร์อะไรกับคำพูดปลุกระดมของเธออีกต่อไป กาก้าจะทำเบลอใส่คนส่วนมากและสนใจแค่แฟนเดนตายของเธอต่อไปได้รึเปล่า?

ยิ่งล่าสุด กาก้าประกาศว่าจะไปเปิดการแสดง ณ กรุง St. Petersburg หลังจากที่Activistsออกมารณรงค์ให้คนบอยค็อตรัสเซียเนื่องจากศาลตัดสินจำคุกในคดี Pussy Riot ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าการต่อสู้เรียกร้องสิทธิ์ของเธออาจเป็นเพียงกิมมิคทางการตลาดเท่านั้น?

หรือเราอย่าไปคิดอะไรมาก ฟังเพลงไปสวยๆ เต้นไปเลิศๆ จบ!

Wednesday 12 September 2012

London Only : Quirky message on the underground

H . I . L . A . R . I . O . U . S.






and this one was right after the opening ceremony of the Olympics 2012....
















and this a day after the launch of the new iOS...

London Only

Sunday 9 September 2012

#Concert: Florence & The Machine (Live at Alexandra Palace)


  



"Ally Pally" (เป็นชื่อเล่นน่าเอ็นดู ตั้งโดยคนท้องถิ่น) เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นเกือบสองร้อยปีที่แล้วเพื่อใช้เป็นสาธารณะประโยชน์ โดยเฉพาะ  และถึงแม้จะโดนไฟไหม้และต้องบูรณะกันไปหลายครั้ง แต่ Ally Pallyก็ยังเป็นสถานที่โปรดของปวงชน  ด้วยปริเวณป่าที่สวยงาม  มีทั้งทะเลสาบ. ลานเสก็ตน้ำแข็ง ฯลฯ หน่ำซ้ำอาหารโฮมเมดที่บาร์อร่อยมากถึงมากที่สุด ราคาเหล้าเบียร์ก็ไม่แพงเกินงาม ทำให้ชาวเราได้ไปนั่งจิบกันพอกึ่มๆ ก่อนจะไปต่อแถวที่ทางเข้าตอนเที่ยงๆและยืนรอกันเมื่อยน่องจนประตูเปิดตอน เวลาประมาณทุ่มหนึ่ง   เป็นวินาทีที่ทุกๆคนในคิวล้วนวิ่งทะลักทลวงประตูใหญ่ ผ่านสวนปาล์มและห้องโถงขนาดยักษ์ของปราสาท(รวมระยะทางเท่ารอบสนามบอลดีๆ นี่เอง) เข้าไปออกันหน้าเวที  เราก็โฉบไปเกาะรั้วกับเขาด้วยสบายๆ ยืนรอไปผิวปากไปชิลๆแต่ขอสารภาพว่าในใจโคตรตื่นเต้นกับการจะได้ฟังนักร้อง ที่ถูกจัดอันดับเป็น "The greatest woman in rock of all time"*...ในระยะเผาขนเสียด้วย

เวลา 9:15น. ไฟสีขาวถูกฉายลงบนฉากผนังสไตล์ decoขนาดมหึมา  เผยให้เห็นสรีระของFlorence Welchโดดเด่นกลางเวที ในชุดคลุมสีเข้มออกแบบโดย Alex Noble  ผม สีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอถูกมัดเป็นเปียและคาดไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นต้นคอระหงส์และโครงหน้าท่าทางที่เหมือนถูกถอดมาจากภาพวาดของ ศิลปินpre-raphaelitesเป๊ะๆ   ทำเอาทุกคนโห่ร้องพร้อมปรบมือต้องรับเธอกันอย่างกึกก้อง ในส่วนของthe machineเองก็เรียกได้ว่าจัดเต็ม ขนกันมาทั้งวงนักประสานเสียง, string section รวมทั้งฮาร์ปขนาดใหญ่ ซึ่งถูกใช้อย่างคุ้มค่าตั้งแต่เพลงแรกเมื่อFlorenceเริ่มเปิดคอนเสิร์ตด้วย Only for a Night...


"ฉันรู้สึกผูกพันกับการจมน้ำ" Florenceเล่า "หรือไม่ก็การดำดิ่งเข้าไปในความลึก  ถูกปิดฝังและล้อมรอบไปด้วยอะไรบางอย่าง...ตอนเด็กๆมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันรู้สึกเหมือนจะนอนหายใจอยู่ได้ใต้น้ำ...เป็น ความรู้สึกที่ฉันพยายามจะทำซ้ำมาตลอด" ในอัลบั้มCeremonials  เธอสามารถสื่อสารความรู้สึกนั้นออกมาอย่างชัดเจน  ด้วยโทนเสียงดนตรีที่หนักแน่น ไปจนถึงเนื้อร้องที่พูดถึงการปล่อยตัวล่องลอยไปในกระแสธารของจิตใต้สำนึก  เช่นในเพลงWhat the water gave me ซึ่งแม้จะเป็นแค่เพลงที่สองของคืนนั้น แต่ก็สามารถทำให้ผู้ชมนับพันจมดิ่งไปอยู่ในห้วงอารมณ์เดียวกันได้อย่างน่า ขนลุก

ตลอดสองชั่วโมง เธอทยอยร้องเพลงดังจากอัลบั้มเก่าอยู่หลายเพลง เช่น Cosmic love, Between two lungs และ Drumming song ซึ่งแฟนๆร้องตามกันได้ทั้งฮอลล์ (ใครร้องไม่รู้ไม่รู้ แต่เราร้องดังสุด)  โดยเฉพา  Dog days are over ซิงเกิ้ลสุดฮ็อต  ที่ระหว่างร้อง Florenceก็สอนให้ปรบมือพร้อมกระโดดตามจังหวะ   เล่นเอาทั้งคนร้องและคนดูเหงื่อซกหน้า ไปตามๆกัน

สามเพลงต่อ มาเธอเล่นเป็นเซ็ตacoustic แต่พลังเสียงยังเต็มสตรีมดังเดิม  โดยมีเพลง Heartline ที่เธอบอกว่าขออุทิศในคุณแม่ของเธอที่มาชมในวันนี้ และชาวลอนดอนทุกๆคน
"ฉันเขียนเพลงนี้ในขณะที่เดินทางไปเล่นคอนเสิร์ต ไกลๆ  ในเวลาที่ต้องสู้ต่อไปแม้จะคิดถึงบ้านและคนที่เรารักก็ตาม...วันนี้ฉันดีใจ มากที่ได้กลับมาร้องมันที่บ้านเกิดของฉัน "  เธอยิ้ม " london, this is for you!"  คำพูดนั้นทำให้Florenceมีเสน่ห์ความเป็นอังกฤษจ๋าจนแทบจะเห็นภาพซ้อนของkate bushอยู่ตรงหน้า  ผู้ชมชาวลอนดอนที่มาดูจึงอินกันเป็นพิเศษ ช่วยกันตะโกนร้องจนเสียงแห้ง เกิดเป็นเสียงประสานของคนในโดมพันๆคน สอดคล้องกับวงดนตรีสดขนาดยักษ์  สร้างความฮึกเฮิมและนต์ขลังอย่างอธิบายไม่ได้
ยิ่งในจังหวะกลองของ เพลงสุดอลังการอย่างAll these and heaven too, Leave my body และ Spectrum  ที่เวลาเล่นสดออกมาแล้วรู้สึกยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยชีวิต จนอดรู้สึกไม่ได้ว่าเพลงในอัลบั้มCeremonialsส่วนใหญ่ ถูกแต่งขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ...

 ขณะที่ร้องนั้นFlorenceสบัดข้อมือขึ้นลงเหมือนกับวาทยกร…เธอรู้ดีว่าผู้ชมทั้งหมดอยู่ในกำมือของเธอ 
 อันนี้อัดเองอาจจะได้ยินเสียงเรารวมร้องบางตอน  ต้องขอโทษด้วย อดใจไม่ไหวจริงๆ


พอ เล่นไปได้ซักพักเธอก็กล่าวขอบคุณ หลังจากจบเพลง No Light No Light, และเดินลงจากเวทีไป  ทำเอาผู้คนส่งเสียงเรียกร้องEncoreกันซักพัก ใหญ่
จน กระทั้งเธอกลับขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมเล่นcover ประจำตัว  You got the love  เวอร์ชั่นมหากาพย์  และปิดการแสดงด้วยเพลงว่าด้วยการจมน้ำ(อีกแล้ว) Never let me go ด้วยเมโลดี้ช้าๆแต่ทรงพลัง เป็นสามนาทที่รู้สึกปลาบปลื้มและมีความสุข จนไม่มีใครอยากจะ Let her goตามนั้นพลงเลยจริงๆ

โดย รวมแล้ว คอนเสิร์ตCeremonialเป็นเหมือนพิธีการ ส่งมอบอำนาจและพลังความอาจหาญจากFlorence & the machineสู่แฟนเพลงนับพัน ด้วยความอลังการของสถานที่, บทเพลง. และตัวนักร้องเอง ทำให้เราแหกปากร้องพร้อมกระโดดเต้น เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มหน่วง   ประหนึ่งต้องมนต์สะกดของแม่มด…อยู่ในความฝันที่ยากจะลืมเลือน
คืนนั้นเราเดินออกจากปราสาทAlly Pallyด้วยความรู้สึกเปล่งประกายด้วยความฮึกเฮิมประหนึ่งทหารศึก

ทำให้นึกถึงเนื้อเพลงSpectrumที่ร้องว่า 
We are shining , and we'll never be afriad again!
ดาว์ นโหลดการบันทึกเสียงคอนเสิร์ตFlorence & the Machine Live at Alexandra Palace จากBBC6 นี้ได้ที่: http://www.mediafire.com/?aiuhp1wqfdnx3uv

(บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกที่ Florence & The Machine Thailand Official page, 30th March 2012)

Thursday 6 September 2012

Heart Of The Game ; กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ

  ผมเป็นคนไม่เล่นกีฬา 

ถ้าไม่นับการปั่นจักรยานBoris bikeไปไหนมาไหนทีละไม่เกินสิบห้านาที(ไม่งั้นมันคิดเงินเพิ่ม)
ก็บอกได้เลยว่าน้อยครั้งนักที่จะได้เล่นเกมกรีฑาหรือยาวิเศษทั้งหลายทั้งปวง ดังนั้นพอได้ข่าวว่าเมืองลอนดอนจะได้เป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิมปิคผมจึงรู้สึกเฉยๆ แถมแอบกังวลด้วยซ้ำ เพราะขนาดในเวลาทำการปกติ รถไฟใต้ดินที่นี่ก็อัดแน่นเป็นปลากระป๋อง, ล่าช้าไม่ตรงเวลา, วิ่งได้บ้างไม่ได้บ้าง เอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่แล้วเป็นทุนเดิม หากมีประชาชนคนสัญจรเพิ่มขึ้นอีกเป็นล้านๆก็เกรงว่าจะรับมือกันไม่ไหวแน่ๆ แถมทางนายกเทศมนตรีBoris Johnsonยังออกมาป่าวประกาศให้บริษัททั้งรัฐและเอกชนอนุญาติพนักงานลาพักร้อน เพื่อลดจำนวนคนในเมืองลอนดอนอย่างสุดความสามารถ ทำเอาชาวลอนดอนเนอร์ทั้งหลายบินหนีออกนอกประเทศไปกันเสียหมด ช่วงเดือนที่ผ่านมาเวลาเดินไปไหนมาไหนก็เห็นแต่ชาวต่างชาติต่างเมือง เดินเล่นถ่ายรูปกันอย่างสบายอารมณ์ บรรยากาศของเมืองที่ปกติมักจะรีบเร่งวุ่นวาย จึงเปลี่ยนไปเป็นผ่อนคลายและสุนทรีย์น่าเที่ยวไปซะงั้น

ในช่วงเวลา”Olympic Fever”นี้ ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนย่อมหนีไม่พ้นหลากหลายกระปวนท่าโปรโมท ‘ชาตินิยมขายตรง’ ของเหล่าองกรณ์ต่างๆที่ขนกันออกมาหวังสร้างความประทับใจ พลางเกาะกระแสมหกรรมกีฬาครั้งนี้ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นลายธง union jack ที่ถูกพิมพ์ลงทุกผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ผ้าขี้ริ้วไปจนถึงรถแท็กซี่ หรือแม้แต่ผลิตพันธุ์จากร้านของชำถ้ามีป้ายแปะขึ้นมาว่า”made in britian”ก็กลับขายดิบขายดีขึ้นมา นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์ต่างๆก็เปิดนิทรรศการโชว์รากเหง้าทางวัฒนธรรมอังกฤษกันโครมคราม: V&A มี British design; Innovation in the Modern Age, British Library มีงาน Writing Britian หรือแม้กระทั้งละครเวทีใน West end ก็จัดแสดงแต่เรื่องจากUK เช่น Matilda, Billy Elliot และ Sweedney Toddเป็นต้น โดยทั้งหมดทั้งปวงนี้นอกจากจะเป็นการต้อนรับนักท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นการแสดงศักยภาพในการเป็นผู้นำทางวัฒนธรรมสมัยนิยมของอังกฤษอีกด้วย

แน่นอนว่าคนอังกฤษเองล้วนสังเกตเห็นถึงกระแสนิยมนี้ และแต่ละคนต่างก็มีความเห็นที่ต่างกันไป บ้างบอกว่าเป็นเครื่องมือการต่อรองอำนาจทางการเมือง, บางคนอย่าง Morissey อดีตนักร้องนำวงThe Smiths กลับออกมาด่าประนามวิถีการตลาดของราชวงศ์ (จากผลสำรวจแสดงว่ามีคนสนุบสนุนราชวงศ์อังกฤษมากขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมาเกือบเท่าตัว) แถมเอาการเสนอข่าวข้างเดียวของสื่อไปเปรียบเทียบกับช่วงการปกครองของนาซีที่เยอรมันเสียอีก… 
และในขณะเดียวกัน ก็ยังมีชาวอังกฤษอีกมากทีเดียวที่ตื่นเต้นและอยากเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประวัติศาสตร์ชิ้นนี้ หนึ่งในนั้นก็คือเป็นสนิทของผม ที่ไปควานหาตั๋วดูกีฬาโอลิมปิกมาจนได้ แถมยังซื้อหลายๆใบ แจกให้พ่อให้แม่ ให้หลาน จนในที่สุดก็ตกมาถึงมือผมด้วยอีกคน ซึ่งพอเพื่อนให้เราก็ต้องรักษาน้ำใจถ่อไปดูด้วยกัน ปรากฏว่าตั๋วนั้นเป็นตั๋วสำหรับการแข่งขันเทนนิส  
แมทช์ระหว่างทีมชาติสวิสชายคู่ มีเฟดเดอร์เรอร์เป็นตัวตั้งตัวตี สู้กับทีมชาติจากอิสราเอล…
บอกตามตรงว่า บรรยากาศในวันนั้นทำให้จากที่ผม “ไม่อิน” กลายเป็น “เอาท์” กับกีฬาไปเลย เพราะนอกจากจะดูรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ในช่วงหลังๆ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเกมมันยาวหรือเขาลุ้นกันเกินไป แต่ทางกองเชียร์ทั้งสองฝ่ายต่างตะโกนกันรุณแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะทางอิสราเอลที่นอกจากจะแหกปากร้องเพลงชาติตัวเองแล้วยังตะคอกด่าผู้คนรอบข้างอีกด้วย ทำเอาผมสะดุ้งกันเป็นระยะๆ ไม่ได้กลัวว่าจะตีเทนนิสกันชนะไหมยังไง แต่กลัวคนข้างๆจะยกพวกตีกันต่างหาก…

ตอนนั้นคิดไว้ว่าพอกันที ไม่เอาแล้วกับการกีฬา แตสามวันหลังจากนั้น ผมก็ได้ไปรับงานอาสาสมัคร สอนเด็กด้อยโอกาสที่มูลนิธิ CARIS (Christian Action and Response In Society)ในย่านHarriengeyซึ่งเป็นหนึ่งในย่านที่ยากจนที่สุดในลอนดอน โดยงานนี้เป็นsummer campให้น้องๆมาทำกิจกรรม ภายใต้ธีมที่ร่วมสมัยที่สุด ณ วินาทีนั้น ซึ่งก็หนีไม่พ้น มหกรรมกีฬา โอ-ลิม-ปิก (อีกแล้ว) แต่พอได้เห็นเด็กๆที่กำพร้า ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีบ้านอยู่ หรือมีปัญหาความรุณแรงในครอบครัว ได้ปล่อยวางความเครียดในชีวิต มาใช้เวลาสนุกๆร่วมกัน สร้างผลงานที่เขาภูมิใจพลางเล่นเกมและเรียนรู้ที่จะเข้าสังคมไปด้วย ทำให้ผมได้สังเกตุว่าเกมกีฬาฟอร์มยักษ์นั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากการละเล่นของเด็กๆกลุ่มนี้เท่าไรเลย…


 หนึ่งในโจทย์สำหรับเด็กๆในวันนั้นคือให้แต่ละคนเขียนนิยามของ ‘The Heart Of The Game’ ซึ่งมีผลออกมาว่าหัวใจสำคัญของมหกรรมกีฬาสำหรับแต่ละคนก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง บางคนวาดรูปนักกีฬาคนโปรด บางคนวาดคบเพลิงที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเลิศ บางคนวาดรูปครอบครัวตัวเองตอนดูกีฬาด้วยกันในทีวี บางคนอธิบายถึงความฝันของตัวเองที่อยากจะประสบความสำเร็จ บางคนทำเหรียญทองให้คุณแม่ และยังมีอีกส่วนหนึ่งที่แบ่งกลุ่มไปซ้อมเต้นเป็นการแสดงพิธีเปิดในแบบพวกเขาเอง…
พอมาลองคิดดู เอาเข้าจริงๆหัวใจของโอลิมปิกนั้นมีมากกว่าแค่กีฬาในสนาม แต่มันสานต่อมาถึงผู้คนนอกสนาม ที่ได้เรียนรู้ถึงความฝัน ควมตั้งใจ ความอดทนและฝึกฝนเพื่อไปให้ถึงความฝันนั้น ที่จะเป็นความภูมิใจของคนที่เรารัก มันเป็นอุดมคติของชีวิตที่ดีที่ถูกถ่ายทอดจากกีฬานั้นต่างหาก ที่ต่อเติมกำลังใจให้เด็กๆ(และผู้ใหญ่) ให้สู้ต่อไป ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ บนสนามการแข่งขันในชีวิตจริงนอกจอทีวีของแต่ละคน


หลังจากวันนั้นตัวผมเองก็ได้ติดเชื้อOlympic Feverมาเต็มตัว ขนาดที่หาเสื้อทีมชาติมาใส่และติดตามดูผลการแข่งกีฬาหลายๆนัด ยิ่งดูยิ่งซึ้งไปกับการแข่งขันอันสวยงาม จนคิดอุปาทานไปว่าซักวันหนึ่งเราจะต้องลุกขึ้นมาเล่นกีฬาจริงๆจังๆบ้างเสียแล้ว…

จนได้ดูคู่ชกมวยไทยจ่าแก้ว พงษ์ประยูร ต่อยกับ นักมวยจีน ซู ซิ หมิง เท่านั้นแหละ…
เป็นอันว่าปิดทีวี เลิกดูกีฬาเหมือนเดิม

(รูปฝีมือเด็กๆครับ)
 

Wednesday 5 September 2012

Painting with Pomme ; ลายเส้นของชีวิตจริง

  
เหตุเกิดที่งานปาร์ตี้ลับ เปิดตัวเบียร์สดสิงห์ที่บาร์แห่งหนึ่งใน Bricklane ผมได้มีโอกาสไปร่วมเป็นผู้ช่วยสร้างผลงานลายเส้นบนผ้าใบขนาดใหญ่กว่าสองเมตร กับศิลปินนักวาดไทย คุณปอม ธัชมาพรรณ จันทร์จำรัสแสง หรือ Pomme Chan ต่อหน้าผู้ร่วมงานจำนวนมากพอดู มีคำถามหนึ่งถูกถามขึ้นท่ามกลางกลิ่นสีและเสียงเพลง

“สิ่งที่หนูทำเนี่ย หนูคิดว่าเป็นพรสวรรค์หรือพรแสวงคะ?”

คำถามนี้ผมถูกถามบ่อยครั้ง แต่กลับหาคำตอบได้ยากมาก
ผมมองหน้าคุณปอมอย่างเลิกลัก มีหนึ่งถือพู่กันเปื้อนอคิลิคสีทอง อีกมือหนึ่งถือkebabห่อไก่(พึ่งได้กินไปได้สองคำ) พร้อมพยายามเค้นคำตอบ ซึ่งฟังดูไม่ขี้โอ่จนเกินงาม
ส่วนคุณปอมนั้น เธอยิ้มเก๋ๆ พลางตอบคำถามได้อย่างฉะฉานและชัดเจน ทำเอาทั้งผมและคนถามอึ้งไปชั่วขณะ
“การวาดรูปเป็นสิ่งที่ทุกคนฝึกได้ แต่งานของแต่ละคนล้วนออกมาสวยงามมากน้อยต่างกัน…
มันไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยใจรักและความพยายามที่จะทำมันให้เป็นอาชีพ ปอมก็เหมือนกับเด็กไทยทั่วๆ ไปแหละคะ”
จริงๆ แล้วก็ไม่น่าแปลกใจที่เธอจะสามารถสร้างสรรค์คำตอบได้อย่างสวยงามในเสี้ยววินาที  เนื่องจากเธอผ่านการสัมภาษณ์มาอย่างโชกโชน ทั้งกับสื่อเมืองไทย เช่น หนังสือพิมพ์ มติชน, นิตยสาร ดิฉัน, รายการโทรทัศน์ สุริวิภา, หรือสื่อเมืองนอก อย่าง Internation Design Network, Grafik, FT Magazine ไปจนถึง ตอบคำถามนักศึกษาตอนเป็นวิทยากรรับเชิญ ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร และ London College of Communication เป็นต้น
….แต่ผมว่า คำตอบที่ชัดเจนที่สุดต่อคำถามนี้ ไม่ได้อยู่ที่คำพูดของเธอ
มันอยู่ในการกระทำของเธอต่างหาก

ถ้าหากย้อนไปเมื่อห้าปีที่แล้ว ก่อนที่เธอจะเป็นนักวาดภาพประกอบ (illustrator) เต็มตัว ก่อนที่เธอจะมีชื่อเสียง
ก่อนที่เธอจะพบคู่ชีวิตชาวฝรั่งเศสและแต่งงานถือสถานะเป็นEU citizen…
นางสาว ธัชมาพรรณ ก็เป็นอีกหนึ่งนักศึกษาไทย ที่ตั้งใจมาเรียน ใช้ชีวิต ค้นหาตัวตนและสิ่งที่“ใช่”ในกรุงลอนดอน เข้าเรียนคอร์ส Foundation สาขา Graphic Design ที่ London College of Communication, ไปผับไทย, มีทั้งเพื่อนแท้และเพื่อนเที่ยว, ต้องฝึกภาษา, กังวลเรื่องวีซ่า เหมือนนักเรียนไทยหลายๆคน
มีอยู่อย่างหนึ่งที่เห็นว่าแตกต่างไปก็คือ “ความตั้งใจ” ที่แน่วแน่ของเธอ
เริ่มตั้งแต่ระหว่างเวลาที่เรียนอยู่สองปี เธอได้สมัครและไปฝึกงานกับบริษัทต่างๆถึงห้าแห่ง จนมีผลงานเป็นชิ้นอันมากมาย ถึงกระนั้นพอจบมา เหล่าบริษัทต่างๆก็ยังไม่รับเธอเข้าทำงานแบบFull time ซะที เนื่องจากความยุ่งยากของการเป็นสปอนเซอร์และการขอวีซ่า มิหน่ำซ้ำเมื่อวีซ่านักเรียนหมด ทางบ้านที่ไทยก็ขอร้องให้เธอกลับ ถึงขนาดมัดมือชกไม่ส่งเงินให้ อยากอยู่ต่อก็ให้หาเองใช้เอง “พูดแบบไม่กระแดะนะคะ ชีวิตที่ไทยมันเป็นอะไรที่ง่าย ต่างกับที่นี่” คุณปอมเล่า “บ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องหุง…แต่พอต้องทำทุกอย่างเอง เหนื่อย เราก็เห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น”  
เมื่อถูกถามถึงประวัติของเธอ เธอบอกผมว่า เธอไม่ชอบเล่าถึงความลำบาก…
แม้ว่าชีวิตกัดฟันสู้ของเธอ มักจะเป็นประเดนเด่นที่ถูกสื่อนำมาเสนอเพื่อเป็นกำลังใจให้กับคนอื่นๆอยู่เสมอ
อาธิเช่น ครั้งที่เธอต้องไปทำงานเป็นพนักงานเสริฟในร้านอาหารไทย, ครั้งที่ไปทำงานบริษัทแล้วเกิดเจ๊งกลางคัน ไม่ได้เงินเดือน, ครั้งที่ต้องไปเป็นช่างแต่งหน้าที่Selfridges และใช้เวลาว่างหลังเลิกงานเพื่อวาดรูป, ครั้งที่ต้องบากหน้าไปกู้ธนาคาร ขอเงินมาตั้งตัว ยืนยันกับผู้อนุมัติกู้พร้อมน้ำตาว่า “มันคืองานในฝันของฉัน ฉันทำได้  ฉันจะมีลูกค้าและมีเงินจ่ายคืนให้คุณแน่นอน”….กว่าจะได้มีเงินมาทำเว็บไซต์ เดินสายเข้าประชุมเสนอขายงานกับลูกค้า ซึ่งไม่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จทุกครั้งไป…

ในความเป็นจริง คุณปอมวางอดีตไว้ในอดีต มองแค่อนาคตข้างหน้า และทำกับสิ่งที่มีวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม

ปัจจุบัน ชื่อของ Pomme Chan ได้รับการยอมรับในวงการออกแบบของลอนดอนและทั่วโลก ด้วยผลงานที่มีแรงบันดาลใจมากจากรูปแบบสถาปัตยกรรมและความอ่อนช้อยในเรือนร่างของสตรีเพศ ถ่าทอดผ่านหมึกปากกา กลายมาเป็นลายเส้นภาพและอักษรศิลป์(Typography)ที่สวยงามและเข้าถึงง่าย  ประสบความสำเร็จจนมีเอเจนท์รับลูกค้าให้ในประเทศอังกฤษ เยอรมัน รัสเซีย และอเมริกา
เธอได้ทำงานให้กับแบรนด์ชั้นนำอย่าง Sony, MTV, Volkswagen, Mercedes-Benz, Marc Jacobs, Microsoft, The Guardian, Nike, Topshop และอื่นๆอีกมากมาย
เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่า ความสามารถของสาวไทยคนนี้ ไม่เป็นสองรองใคร
แม้แต่ครอบครัวที่ไทยก็ต้องยอมรับในฝีมือและความตั้งใจของเธอ “อาจจะดูเห็นแก่ตัวนะคะ ที่ปอมเลือกจะอยู่ที่นี่แทนที่จะกลับไปดูแลพ่อแม่” เธอกล่าว “แต่ว่าปอมคิดว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่อตัวเราเอง,,, และเขาก็รู้ว่าสิ่งที่ปอมทำอยู่ตอนนี้ปอมมีความสุข พ่อแม่ก็ไม่ได้อยากได้อะไรมากกว่านั้นแล้ว”


ในงานวันนั้น ผมคิดถึงเรื่องราวของคุณปอมในขณะที่ลากผู่กัน สร้างลายเส้นสีทองไปตามดีไซน์ที่เธอร่างไว้
เป็นลายเส้นที่ชัดเจน มีความละเอียดอ่อนและเคลื่อนไหวเป็นธรรมชาติ เป็นลายเส้นที่แฝงความสวยงามแบบไทยไว้ในลักษณะสากลร่วมสมัยอย่างลงตัว เป็นลายเส้นที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ของชีวิตจริง ที่ไม่เคยถูกโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ

ส่วนจะเป็นพรสวรรค์หรือพรแสวงนั้น อันนี้คงต้องพิจารณากันดูเอง



ติดตามผลงานอื่นๆของ คุณปอม ได้ที่ http://pommepomme.com


(บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตรยสาร ThaiSmile (UK) ฉบับ113 ภาพประกอบโดยคุณโอ๊ต ชัยสิทธิ์:http://www.oat-chaiyasith.com/)

Tuesday 4 September 2012

In The Rose Garden ; รูปถ่ายจากสวนกุหลาบ

“อีกหนึ่งชั่วโมงเจอกันที่ไฮด์ปาร์คได้ไหม?”

บอกตามตรงว่าในวินาทีนั้นผมไม่อยู่ในสภาพที่จะสร้างปฏิสัมพันธ์ใดๆกับใครทั้งสิ้น  แต่ข้างในลึกๆมีอะไรบางอย่างบอกให้ใจกล้าหน้าด้านไปซักตั้ง โอกาสแบบนี้ไม่ได้ผ่านมาบ่อย อีกอย่างเธอน่าจะชอบเด็กหนุ่มอารมณ์เซอร์ๆดิบๆ หน้าตาพึ่งตื่นนอนของผมคงจะสร้างความประทับใจแรกพบได้ไม่น้อย...
"ไม่มีอะไรจะเสียละน่า"  ผมคิด

เดินออกจากที่สถานีรถไฟ Hydepark corner เวลาบ่ายสามสิบนาที แสงแดดอ่อนของฤดูใบไม้ผลิจูบหลังคอของผมเบาๆ…
สายตาของเราประจบกันท่ามกลางผู้คนผลุกผลาน เธอเดินรี่เข้ามาหาผมพร้อมถามทันทีว่าแว่นตาหายไปไหน? สงสัยจะเป็นเพราะรูปprofile pictureของผมมักใส่แว่นตาอยู่เสมอ ความเป็นกันเองของเธอทำให้ผมหายเกร็งทันที
“ลืมไว้ที่บ้านน่ะครับ” ผมตอบและหัวเราะออกมาอย่างอายๆ
ถึงแม้มันจะเป็นเจอกันครั้งแรกระหว่างเรา แต่นิสัยของเธอกลับเหมือนที่ผมคาดไว้ไม่ผิด ทั้งอารมณ์ขันที่ร้ายกาจ บุคลิกทะมัดทะแมง และ ความตรงไปตรงมาแบบขวานผ่าซาก
“น่าเสียดายนะ ฉันว่าหน้าของเธอดูประหลาดเวลาไม่ใส่แว่น” อย่างนี้เป็นต้น
เธอเป็นสาวผิวดำตัวอ้วนเตี้ยอายุสามสิบต้นๆ ผมสีน้ำตาลเข้มถูกถักเป็นเปียแบบคอร์นโรลทั้งหัว พวกมันทิ้งน้ำหนักและสบัดไปมาทำให้ทุกย่างก้าวของเธอดูรุณแรงกว่าจริงนัก

เราเดินเข้าสู่ Hyde Park สวนขนาดใหญ่ที่มีทุ่งหญ้าเตียนสะอาดและทิวไม้ทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตา สวนสาธารณะยักษ์แห่งนี้เปรียบเสมือนเป็นปอดฝอกอากาศบริสุทธิ์ของลอนดอน ประกอบด้วยหลากหลายบริเวณที่น่าสนใจ เช่น speaker corner ที่เป็นพื้นที่ปราศัยอิสระของประชาชนในวันอาทิตย์, ทะเลสาบและหอศิลป์serpentine, อนุสารีย์ เจ้าหญิงไดอาน่า, สุสานลับของสัตว์เลี้ยง, รวมไปถึง สวนกุหลาบ (The Rose Garden) ที่ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายในวันนั้นของเรา
เธอนำผมเดินผ่าพุ่มไม้ดอกต่างๆแบบสลับซิกแซ็กอย่างรวดเร็ว “จะได้ดมมันให้ครบทุกดอกไง” เธอพูดขณะก้มลงดมดอกกุหลาบสีชมพูอมเหลืองดอกใหญ่ พลางกวักมือเรียกผมไปร่วมด้วยช่วยดมเหล่า กุหลาบหลากชนิด บ้างกลิ่นหอมฉุน บ้างกลิ่นอ่อนบาง
 Polyantha, Amber Flush, Rosa, Synstylae, Alba Maxima, Gipsy Boy, Marechal du Palais,…
ผมทยอยอ่านชื่อของแต่ละพันธ์อย่างช้าๆ คล้ายว่าจะให้สมองจดจำชื่อและกลิ่นของแต่ละต้น แม้ในใจจะรู้ว่าอีกไม่นานก็คงลืมไปหมด…

            สามปีที่แล้วผมชอบเล่นกล้อง เคยอดข้าวเก็บเงินค่าขนมซื้อกล้องมืออาชีพราคาแพงมาใช้ แต่จนแล้วจนรอดก็เล่นไม่เป็น ถ่ายอย่างไรก็ไม่สวย ผมจึงลงเรียนวิชาถ่ายภาพเสริมที่โรงเรียน อ่านกระทู้ในเว็บบอร์ดสาธารณะของช่างภาพอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง แถมยังขวนขวายอ่านหนังสือและกว้านซื้อ นิตยสารแฟชั่นมากมายดูเป็นแรงบันดาลใจ  ตั้งใจหาแนวทางที่ “ใช่” และอารมณ์ภาพที่ “โดน” จากการผลิกหน้าสิ่งพิมพ์เล่มแล้วเล่มเล่า จนได้มาพบกับงานภาพถ่ายชุดหนึ่ง ที่ถูกตีพิมพ์บนแผ่นกระดาษเคลือบมันแบบถูกๆหกหน้าด้วยกัน
ในคู่หน้าแรกมีภาพร่างกายที่บิดเบี้ยวของเด็กหนุ่ม ใบหน้าเขาถูกซ่อนอยู่ในเงาแสงเทียนสลัวๆ พิมพ์คู่กับภาพวาดทางศาสนาบนฝนังโบสถ์คาทอลิกโบราณ รอยแตกจากความเก่าของสีภาพวาด สอดคล้องกับโทนสีหม่นของภาพถ่ายอย่างลงตัว สีน้ำตาลของไม้คานโบสถ์กอธิคตัดกับสีขาวเนื้อซึ่ง ถูกเผยให้เห็นเป็นใบหน้าและร่างกายของเด็กหนุ่มทีละนิดในหน้าต่อๆมา… เรียกได้ว่าแสงเงาและการวางตำแหน่งของภาพล้วนสวยงามไม่มีที่ติ
ภาพในคู่หน้าสุดท้ายเป็นฟิลม์ขาวดำเนื้อภาพหยาบจากล้างด้วยมือและมาลงสีทีหลัง ตัวภาพมีพื้นผิวสีน้ำตาลด่างๆผสมกับรอยจุดสีดำ เหมือนเป็นความทรงจำสีจางของใครคนหนึ่ง
ภาพนั้นเป็นภาพชิ้นเดียวที่เผยให้เห็นเด็กหนุ่มอย่างชัดเจน เขานอนเปลือยทั้งตัว ในมือถือสายประคำไม้
สายตาจ้องตรงมาที่กล้อง เหมือนกับดวงตาของเนื้อทราย…สวยงามและมีความเหงาแฝงอยู่
ผมจัดแจงฉีกทั้งคู่หน้าออกจากหนังสือมาแปะบนฝนังห้องเหนือหัวเตียง เสร็จแล้วจึงรีบออน์ไลน์ ค้นหาประวัติช่างภาพผู้ถ่ายรูปชุดดังกล่าว รู้เพียงชื่อของเธอคือ ทอยอิน อิปิดาโป (Toyin Ibidapo) เมื่อเริ่มค้นหาในกูเกิ้ลจึงรู้ว่าเธอเคยถ่ายภาพให้กับยี่ห้อสินค้าชั้นสูง อีกทั้งนิตยสารระดับโลกมากมาย
เธอไม่มีเว็บไซต์ มีเพียงบล็อคเล็กๆซึ่งไม่ได้อัพโหลดบ่อยนัก และมีคนแวะมาเยี่ยมชมเพียงหยิบมือ
ผมหาอีเมล์แอดเดรสของเธอจนเจอ ในตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรไม่ออกนอกจาก อยากจะขอบคุณที่เป็นแรงบันดาลใจให้ และหวังว่าซักวันคงจะได้เจอกัน หลังจากที่ผมกดส่งอีเมล์ไปผมไม่เคยคิดที่จะได้คำตอบกลับ แต่ไม่นานนัก ทอยอินก็เขียนกลับมาขอบคุณ พร้อมชมรูปถ่ายฝีมือสมัครเล่นของผมอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้นเราส่งจดหมายอิเล็กทรอนิคตอบกันไปมา และถึงแม้มันจะมีเพียงข้อความสั้นๆ อีเมล์ของทอยอินทำให้ผมตื่นเต้นดีใจเสมอ 



ตอนที่ผมแปะหน้าคู่จากนิตยสารนั้นบนฝนัง ผมแอบหวังในใจว่าซักวันผมอยากจะเจอช่างภาพเจ้าของรูปนี้ อยากจะถูกถ่ายรูปโดยเขา ถูกบันทึกอารมณ์ความสวยงามไว้บนฟิลม์ เป็นงานศิลปะผ่านทางมุมกล้องของเขา…

สามปีผ่านไป ผมได้มาอยู่ที่อังกฤษ และตอนนี้ช่างภาพคนนั้นกำลังเอื้อมดมดอกไม้อยู่ด้านหน้าของผม

“ฉันขอร้องอะไรเธออย่างหนึ่ง อย่างเดียวเท่านั้น” ทอยอินเอ่ยขึ้น “เมื่อไรก็ตามถ้าเธอเกิดประสบความสำเร็จหรือโด่งดังขึ้นมา จำไว้ว่าอย่าทำตัวสวะ” น้ำเสียงของเธอแสดงถึงความโกรธแค้นเล็กๆ แต่แว่นดำนั้นบังสีหน้าของเธอ ทำให้ผมเดาอารมณ์ของเธอไม่ออก ได้แต่สงสัยในใจว่า ทำไมอยู่ดีๆถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา? เคยเกิดอะไรขึ้นกับเธอ? แต่ก่อนที่เราจะถกถึงความหลังของเธอ ทอยอินก็เดินผละไปทางทะเลสาบ “ดูซิ! ตรงนั้นมีหงส์ด้วย!” เธอจุดบุหรี่ขึ้นคาบพลางควักถุงขนมปังออกมา แบ่งกับผมคนละครึ่ง เราฉีกมันออกเป็นแผ่นเล็กๆแล้วโปรยไปรอบๆ ดึงดูดเหล่านกพิราบ นกกระจอก ไปจบถึงห่านและหงส์สีขาวตัวใหญ่ ร่วมกันเดินออกจากน้ำมาร่วมวงบุฟเฟต์ด้วย

ในมือซ้ายผมกำโทรศัพท์เครื่องเล็กไว้แน่น มันเริ่มชื้นด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆที่ไหลออกมาด้วยความตื่นเต้น
ผมหันไปหาเธอแล้วพูดขึ้นว่า “ผมก็อยากขออะไรคุณเหมือนกัน ถ้าคุณไม่รังเกียจ คุณจะทำให้ฝันผมเป็นจริงได้ไหมครับ?” เธอหยุดโปรยอาหารนกพร้อมหันมามองผมและเลนส์จิ๋วของกล้องบนโทรศัพท์ของผมแบบงงๆ
“ถ่ายรูปผมให้หน่อยได้ไหม?”

แน่นอน เสียงของผมสั่นด้วยความประหม่า คำขอของผมมันจะดูเชิ่มไปไหมนะ? เธอจะรำคาญรึเปล่า? และคำถามอีกมากมายวิ่งผ่านสมองผมในวินาทีๆนั้น เธอชะงักไปนิดหนึ่ง โลกทั้งโลกเหมือนจะหยุดหมุนไปซักครู่หนึ่ง
ปราศจากถ้อยคำใดๆ…ทอยอินรับกล้องไปจากมือผม แล้วเล็งกลับมาอย่างคล่องแคล่ว


“คลิก”