Tuesday 4 September 2012

In The Rose Garden ; รูปถ่ายจากสวนกุหลาบ

“อีกหนึ่งชั่วโมงเจอกันที่ไฮด์ปาร์คได้ไหม?”

บอกตามตรงว่าในวินาทีนั้นผมไม่อยู่ในสภาพที่จะสร้างปฏิสัมพันธ์ใดๆกับใครทั้งสิ้น  แต่ข้างในลึกๆมีอะไรบางอย่างบอกให้ใจกล้าหน้าด้านไปซักตั้ง โอกาสแบบนี้ไม่ได้ผ่านมาบ่อย อีกอย่างเธอน่าจะชอบเด็กหนุ่มอารมณ์เซอร์ๆดิบๆ หน้าตาพึ่งตื่นนอนของผมคงจะสร้างความประทับใจแรกพบได้ไม่น้อย...
"ไม่มีอะไรจะเสียละน่า"  ผมคิด

เดินออกจากที่สถานีรถไฟ Hydepark corner เวลาบ่ายสามสิบนาที แสงแดดอ่อนของฤดูใบไม้ผลิจูบหลังคอของผมเบาๆ…
สายตาของเราประจบกันท่ามกลางผู้คนผลุกผลาน เธอเดินรี่เข้ามาหาผมพร้อมถามทันทีว่าแว่นตาหายไปไหน? สงสัยจะเป็นเพราะรูปprofile pictureของผมมักใส่แว่นตาอยู่เสมอ ความเป็นกันเองของเธอทำให้ผมหายเกร็งทันที
“ลืมไว้ที่บ้านน่ะครับ” ผมตอบและหัวเราะออกมาอย่างอายๆ
ถึงแม้มันจะเป็นเจอกันครั้งแรกระหว่างเรา แต่นิสัยของเธอกลับเหมือนที่ผมคาดไว้ไม่ผิด ทั้งอารมณ์ขันที่ร้ายกาจ บุคลิกทะมัดทะแมง และ ความตรงไปตรงมาแบบขวานผ่าซาก
“น่าเสียดายนะ ฉันว่าหน้าของเธอดูประหลาดเวลาไม่ใส่แว่น” อย่างนี้เป็นต้น
เธอเป็นสาวผิวดำตัวอ้วนเตี้ยอายุสามสิบต้นๆ ผมสีน้ำตาลเข้มถูกถักเป็นเปียแบบคอร์นโรลทั้งหัว พวกมันทิ้งน้ำหนักและสบัดไปมาทำให้ทุกย่างก้าวของเธอดูรุณแรงกว่าจริงนัก

เราเดินเข้าสู่ Hyde Park สวนขนาดใหญ่ที่มีทุ่งหญ้าเตียนสะอาดและทิวไม้ทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตา สวนสาธารณะยักษ์แห่งนี้เปรียบเสมือนเป็นปอดฝอกอากาศบริสุทธิ์ของลอนดอน ประกอบด้วยหลากหลายบริเวณที่น่าสนใจ เช่น speaker corner ที่เป็นพื้นที่ปราศัยอิสระของประชาชนในวันอาทิตย์, ทะเลสาบและหอศิลป์serpentine, อนุสารีย์ เจ้าหญิงไดอาน่า, สุสานลับของสัตว์เลี้ยง, รวมไปถึง สวนกุหลาบ (The Rose Garden) ที่ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายในวันนั้นของเรา
เธอนำผมเดินผ่าพุ่มไม้ดอกต่างๆแบบสลับซิกแซ็กอย่างรวดเร็ว “จะได้ดมมันให้ครบทุกดอกไง” เธอพูดขณะก้มลงดมดอกกุหลาบสีชมพูอมเหลืองดอกใหญ่ พลางกวักมือเรียกผมไปร่วมด้วยช่วยดมเหล่า กุหลาบหลากชนิด บ้างกลิ่นหอมฉุน บ้างกลิ่นอ่อนบาง
 Polyantha, Amber Flush, Rosa, Synstylae, Alba Maxima, Gipsy Boy, Marechal du Palais,…
ผมทยอยอ่านชื่อของแต่ละพันธ์อย่างช้าๆ คล้ายว่าจะให้สมองจดจำชื่อและกลิ่นของแต่ละต้น แม้ในใจจะรู้ว่าอีกไม่นานก็คงลืมไปหมด…

            สามปีที่แล้วผมชอบเล่นกล้อง เคยอดข้าวเก็บเงินค่าขนมซื้อกล้องมืออาชีพราคาแพงมาใช้ แต่จนแล้วจนรอดก็เล่นไม่เป็น ถ่ายอย่างไรก็ไม่สวย ผมจึงลงเรียนวิชาถ่ายภาพเสริมที่โรงเรียน อ่านกระทู้ในเว็บบอร์ดสาธารณะของช่างภาพอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง แถมยังขวนขวายอ่านหนังสือและกว้านซื้อ นิตยสารแฟชั่นมากมายดูเป็นแรงบันดาลใจ  ตั้งใจหาแนวทางที่ “ใช่” และอารมณ์ภาพที่ “โดน” จากการผลิกหน้าสิ่งพิมพ์เล่มแล้วเล่มเล่า จนได้มาพบกับงานภาพถ่ายชุดหนึ่ง ที่ถูกตีพิมพ์บนแผ่นกระดาษเคลือบมันแบบถูกๆหกหน้าด้วยกัน
ในคู่หน้าแรกมีภาพร่างกายที่บิดเบี้ยวของเด็กหนุ่ม ใบหน้าเขาถูกซ่อนอยู่ในเงาแสงเทียนสลัวๆ พิมพ์คู่กับภาพวาดทางศาสนาบนฝนังโบสถ์คาทอลิกโบราณ รอยแตกจากความเก่าของสีภาพวาด สอดคล้องกับโทนสีหม่นของภาพถ่ายอย่างลงตัว สีน้ำตาลของไม้คานโบสถ์กอธิคตัดกับสีขาวเนื้อซึ่ง ถูกเผยให้เห็นเป็นใบหน้าและร่างกายของเด็กหนุ่มทีละนิดในหน้าต่อๆมา… เรียกได้ว่าแสงเงาและการวางตำแหน่งของภาพล้วนสวยงามไม่มีที่ติ
ภาพในคู่หน้าสุดท้ายเป็นฟิลม์ขาวดำเนื้อภาพหยาบจากล้างด้วยมือและมาลงสีทีหลัง ตัวภาพมีพื้นผิวสีน้ำตาลด่างๆผสมกับรอยจุดสีดำ เหมือนเป็นความทรงจำสีจางของใครคนหนึ่ง
ภาพนั้นเป็นภาพชิ้นเดียวที่เผยให้เห็นเด็กหนุ่มอย่างชัดเจน เขานอนเปลือยทั้งตัว ในมือถือสายประคำไม้
สายตาจ้องตรงมาที่กล้อง เหมือนกับดวงตาของเนื้อทราย…สวยงามและมีความเหงาแฝงอยู่
ผมจัดแจงฉีกทั้งคู่หน้าออกจากหนังสือมาแปะบนฝนังห้องเหนือหัวเตียง เสร็จแล้วจึงรีบออน์ไลน์ ค้นหาประวัติช่างภาพผู้ถ่ายรูปชุดดังกล่าว รู้เพียงชื่อของเธอคือ ทอยอิน อิปิดาโป (Toyin Ibidapo) เมื่อเริ่มค้นหาในกูเกิ้ลจึงรู้ว่าเธอเคยถ่ายภาพให้กับยี่ห้อสินค้าชั้นสูง อีกทั้งนิตยสารระดับโลกมากมาย
เธอไม่มีเว็บไซต์ มีเพียงบล็อคเล็กๆซึ่งไม่ได้อัพโหลดบ่อยนัก และมีคนแวะมาเยี่ยมชมเพียงหยิบมือ
ผมหาอีเมล์แอดเดรสของเธอจนเจอ ในตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรไม่ออกนอกจาก อยากจะขอบคุณที่เป็นแรงบันดาลใจให้ และหวังว่าซักวันคงจะได้เจอกัน หลังจากที่ผมกดส่งอีเมล์ไปผมไม่เคยคิดที่จะได้คำตอบกลับ แต่ไม่นานนัก ทอยอินก็เขียนกลับมาขอบคุณ พร้อมชมรูปถ่ายฝีมือสมัครเล่นของผมอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้นเราส่งจดหมายอิเล็กทรอนิคตอบกันไปมา และถึงแม้มันจะมีเพียงข้อความสั้นๆ อีเมล์ของทอยอินทำให้ผมตื่นเต้นดีใจเสมอ 



ตอนที่ผมแปะหน้าคู่จากนิตยสารนั้นบนฝนัง ผมแอบหวังในใจว่าซักวันผมอยากจะเจอช่างภาพเจ้าของรูปนี้ อยากจะถูกถ่ายรูปโดยเขา ถูกบันทึกอารมณ์ความสวยงามไว้บนฟิลม์ เป็นงานศิลปะผ่านทางมุมกล้องของเขา…

สามปีผ่านไป ผมได้มาอยู่ที่อังกฤษ และตอนนี้ช่างภาพคนนั้นกำลังเอื้อมดมดอกไม้อยู่ด้านหน้าของผม

“ฉันขอร้องอะไรเธออย่างหนึ่ง อย่างเดียวเท่านั้น” ทอยอินเอ่ยขึ้น “เมื่อไรก็ตามถ้าเธอเกิดประสบความสำเร็จหรือโด่งดังขึ้นมา จำไว้ว่าอย่าทำตัวสวะ” น้ำเสียงของเธอแสดงถึงความโกรธแค้นเล็กๆ แต่แว่นดำนั้นบังสีหน้าของเธอ ทำให้ผมเดาอารมณ์ของเธอไม่ออก ได้แต่สงสัยในใจว่า ทำไมอยู่ดีๆถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา? เคยเกิดอะไรขึ้นกับเธอ? แต่ก่อนที่เราจะถกถึงความหลังของเธอ ทอยอินก็เดินผละไปทางทะเลสาบ “ดูซิ! ตรงนั้นมีหงส์ด้วย!” เธอจุดบุหรี่ขึ้นคาบพลางควักถุงขนมปังออกมา แบ่งกับผมคนละครึ่ง เราฉีกมันออกเป็นแผ่นเล็กๆแล้วโปรยไปรอบๆ ดึงดูดเหล่านกพิราบ นกกระจอก ไปจบถึงห่านและหงส์สีขาวตัวใหญ่ ร่วมกันเดินออกจากน้ำมาร่วมวงบุฟเฟต์ด้วย

ในมือซ้ายผมกำโทรศัพท์เครื่องเล็กไว้แน่น มันเริ่มชื้นด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆที่ไหลออกมาด้วยความตื่นเต้น
ผมหันไปหาเธอแล้วพูดขึ้นว่า “ผมก็อยากขออะไรคุณเหมือนกัน ถ้าคุณไม่รังเกียจ คุณจะทำให้ฝันผมเป็นจริงได้ไหมครับ?” เธอหยุดโปรยอาหารนกพร้อมหันมามองผมและเลนส์จิ๋วของกล้องบนโทรศัพท์ของผมแบบงงๆ
“ถ่ายรูปผมให้หน่อยได้ไหม?”

แน่นอน เสียงของผมสั่นด้วยความประหม่า คำขอของผมมันจะดูเชิ่มไปไหมนะ? เธอจะรำคาญรึเปล่า? และคำถามอีกมากมายวิ่งผ่านสมองผมในวินาทีๆนั้น เธอชะงักไปนิดหนึ่ง โลกทั้งโลกเหมือนจะหยุดหมุนไปซักครู่หนึ่ง
ปราศจากถ้อยคำใดๆ…ทอยอินรับกล้องไปจากมือผม แล้วเล็งกลับมาอย่างคล่องแคล่ว


“คลิก”


No comments:

Post a Comment